แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ข้อ 24.9 กำหนดให้ลูกหนี้ที่ถูกศาลสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการตกเป็นผู้ผิดนัดเกิดผลตามข้อ 25.1 ให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามสินเชื่อคงค้างทั้งหมดคืนได้ทันที และให้เจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังนั้น เมื่อลูกหนี้ถูกศาลสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการลูกหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัด เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามสินเชื่อคงค้างทั้งหมดคืนได้ทันที แต่เจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดตามอัตราที่กำหนดไว้ตามสัญญาสินเชื่อเดิมได้ตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดเป็นต้นไปเท่านั้น ทั้งดอกเบี้ยผิดนัดดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับถ้าสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งลูกหนี้เป็นผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2546 ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม 2547 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนโดยมีลูกหนี้เป็นผู้บริหารแผน
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ค่าตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นต้นเงินจำนวน 25,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 50 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น คำนวณดอกเบี้ยถึงวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเป็นเงิน 68,718,537.32 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,718,537.32 บาท
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้บรรดาเจ้าหนี้ ลูกหนี้และผู้ทำแผนตรวจคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/29 แล้ว ผู้ทำแผนโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 93,701,414.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 50 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จจากลูกหนี้
ผู้บริหารแผนยื่นคำร้องคัดค้านว่า ลูกหนี้ไม่ได้ตกเป็นผู้ผิดนัด การที่เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดย้อนหลังไป ทั้ง ๆ ที่ลูกหนี้ไม่ได้ผิดนัดเป็นการขัดกับสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่กำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้ามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับและสูงเกินส่วน ขอให้แก้ไขคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยมีคำสั่งให้ลูกหนี้รับผิดดอกเบี้ยตามอัตราในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เท่านั้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าหนี้ต่างยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้บริหารแผนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้โต้เถียงกันฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2543 บรรดาเจ้าหนี้สถาบันการเงินรวมทั้งเจ้าหนี้รายนี้ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 ลูกหนี้ยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและตั้งลูกหนี้เป็นผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2546 ผู้บริหารแผนอุทธรณ์ว่า เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 50 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 25,000,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2540 จนถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2546 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเป็นการคิดดอกเบี้ยย้อนหลังตั้งแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินขัดกับข้อตกลงในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้คำนวณมามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับและสูงเกินส่วนนั้น เห็นว่า ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เอกสารในสำนวนคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้ข้อ 24.9 กำหนดให้กรณีที่ลูกหนี้ถูกศาลสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการทำให้ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด เกิดผลตามข้อ 25.1 ที่ให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามสินเชื่อคงค้างทั้งหมดคืนได้ทันที และให้เจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดจากหนี้สินเชื่อคงค้างส่วนที่เหลือที่เจ้าหนี้ยังไม่ได้รับชำระนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้จนกว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ดังกล่าวครบถ้วนโดยข้อ 25.2 ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดไว้ ให้คิดในอัตราดอกเบี้ยผิดนัดตามที่กำหนดไว้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้หรือตามสัญญาสินเชื่อเดิมของเจ้าหนี้แต่ละรายก็ได้ ดังนั้น เมื่อลูกหนี้ถูกศาลสั่งรับคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการทำให้ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามสินเชื่อคงค้างทั้งหมดคืนได้ทันที แต่เจ้าหนี้คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดตามอัตราดอกเบี้ยผิดนัดที่กำหนดไว้ตามสัญญาสินเชื่อเดิมของเจ้าหนี้ได้ตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดเป็นต้นไปเท่านั้น จะคิดดอกเบี้ยก่อนวันผิดนัดหาได้ไม่ ทั้งดอกเบี้ยผิดนัดดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับถ้าสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ซึ่งศาลฎีกาได้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายรวมทั้งในเชิงทรัพย์สินแล้ว เห็นว่า การที่ลูกหนี้ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้ระหว่างลูกหนี้ผิดนัดในอัตราร้อยละ 50 ต่อปีนั้นสูงเกินส่วนเห็นสมควรกำหนดให้ในอัตราร้อยละ 27 ต่อปี ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้บริหารแผนฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 26,078,767.13 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 25 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000,000 บาท นับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2540 ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 27 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000,000 บาท นับถัดจากวันดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้หักเงินจำนวน 1,435,572.28 บาท ที่ลูกหนี้ชำระแล้วออกก่อน