คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 บัญญัติความว่าสำหรับความผิดครั้งหนึ่งๆ ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ดังนั้น ถ้าจะปรับจำเลยเรียงตัวคนละ 4 เท่าของอัตราราคานั้น ก็จะเป็นการปรับจำเลยสำหรับความผิดครั้งหนึ่งๆ เกิน 4 เท่าย่อมขัดบทกฎหมายมาตราดังกล่าว และจะนำ มาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับไม่ได้ เพราะได้มีบัญญัติไว้เป็นพิเศษ โดยพระราชบัญญัติศุลกากรต่างหากแล้ว
ศาลอุทธรณ์กล่าวไว้ในคำพิพากษาว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่กำหนดวันกักขังแทน ค่าปรับไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 ควรจะกักขังได้นานกว่านั้นแต่โจทก์ไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษาแก้ โจทก์ฎีกาขอให้แก้ไข ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมกันซื้อและขนถ่ายสินค้าคือไม้จิ้มฟัน 230 โหล ราคา 2,760 บาท ต้องเสียค่าอากร 828 บาท พุทราจีนแห้ง 2 กระสอบ ราคา 655 บาท ต้องเสียค่าอากร 1,290 บาท ดอกไม้จีนแห้ง 3กระสอบ ต้องเสียค่าอากร 616 บาท ซึ่งเป็นของต้องห้ามต้องจำกัด และเป็นสินค้าที่นำมาจากต่างประเทศโดยเรือสินค้าชื่อ ชุ๊นชิง เข้ามาจอดในลำแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังไม่ได้ผ่านศุลกากร ยังไม่ได้เสียภาษีอากร จำเลยร่วมกันซื้อและขนถ่ายลงเรือยนต์พาเข้าไปในคลองบางแก้วโดยเจตนาฉ้อค่าภาษี โดยจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ริบเรือยนต์และสินค้าของกลาง

จำเลยที่ 2 รับสารภาพ จำเลยที่ 1 และ 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลอาญาพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 ผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27, 31, 32 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11)พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ปรับคนละ 29,484 บาท ลดโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 14,742 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนให้กักขังจำเลยที่ 2 กำหนด 2 เดือน จำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 1 ปี ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลอาญาปรับจำเลยเรียงตัวไม่ชอบ และเป็นเหตุในลักษณะคดี ส่วนกำหนดเวลากักขังแทนค่าปรับก็ไม่ถูก แต่โจทก์ไม่อุทธรณ์ ไม่อาจแก้ให้เป็นโทษแก่จำเลยพิพากษาแก้ให้ปรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 สี่เท่าราคาของรวมค่าอากรเป็นเงิน 29,484 บาทเฉลี่ยคนละเท่า ๆ กัน ปรับคนละ 14,742 บาท ลดโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 7,371 บาท ไม่ชำระจัดการตามมาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนให้กักขังเท่าศาลอาญากำหนดไว้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 คืนเรือยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ยืน

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 และริบเรือยนต์ กับขอให้ปรับจำเลยรายตัวตามความเห็นศาลอาญา และแก้ไขกำหนดเวลากักขังให้ถูกต้อง

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำผิด ให้คืนเรือยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 3 ส่วนที่ขอให้ลงโทษปรับจำเลยเรียงตัวตามคำพิพากษาศาลอาญานั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 บัญญัติว่า สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ดังนั้นถ้าจะปรับจำเลยเรียงตัวคนละ 4 เท่าของอัตราราคานั้น ก็จะเป็นการปรับจำเลยสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ เกิน 4 เท่า ย่อมขัดบทกฎหมายมาตรานั้นจะนำมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับก็ไม่ได้เพราะได้มีบัญญัติไว้เป็นพิเศษโดยพระราชบัญญัติศุลกากรต่างหากแล้วอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 664/2506 ส่วนเรื่องกำหนดเวลากักขังจำเลยที่ 1 ที่ 2 แทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นั้นปรากฏว่า เมื่อศาลอาญาพิพากษาแล้ว โจทก์ไม่อุทธรณ์ ครั้นศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาชี้แจ้งว่าศาลอาญากำหนดเวลากักขังจำเลยทั้ง 2 แทนค่าปรับไม่ถูก โจทก์จึงฎีกาขอให้แก้ไขให้ต้องตามกฎหมาย ดังนี้เห็นว่าเมื่อคดีไม่มีอุทธรณ์ในข้อนี้ เรื่องกำหนดเวลากังขังแทนค่าปรับก็ยุติตามคำพิพากษาศาลอาญาแล้ว ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 หาได้ไม่ พิพากษายืน

Share