คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2529

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยชวนผู้เสียหายอายุ 17 ปี ไปรับประทานอาหารแล้วพาไปร่วมประเวณี โดยบิดามารดาของผู้เสียหายไม่ทราบว่าผู้เสียหายไปไหน ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 แต่จำเลยกับ ผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาจนผู้เสียหายตั้งครรภ์แล้ว ศาลฎีการอการลงโทษจำคุกให้จำเลย

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองว่า วันเกิดเหตุ จำเลยชวนผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีไปรับประทานอาหาร แล้วจำเลยพาผู้เสียหายเข้าไปร่วมประเวณีในบังกะโล โดยมารดาของผู้เสียหายไม่รู้เห็นอยู่ด้วยมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นการพรากผู้เยาว์หรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยชวนผู้เสียหายไปรับประทานอาหาร แล้วจำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีไปร่วมประเวณีในบังกะโล โดยบิดามารดาของผู้เสียหายไม่ทราบว่าผู้เสียหายไปไหนการกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ฎีกาของจำเลยที่อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1911/2522 นั้น ตามฎีกาดังกล่าวนั้น ผู้เสียหายเป็นผู้ขอให้จำเลยช่วยเหลือพาผู้เสียหายไปเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดนั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ปรากฏจากคำร้องของจำเลยและผู้เสียหายซึ่งร่วมกันยื่นในชั้นฎีกาว่า จำเลยกับผู้เสียหายปรับความเข้าใจกันได้และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาจนผู้เสียหายตั้งครรภ์ได้ 2 เดือนแล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยขั้นต่ำอยู่แล้ว ส่วนที่ขอให้รอการลงโทษนั้นเมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดี และจำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา เห็นเป็นการสมควรรอการลงโทษจำคุกไว้เพื่อให้จำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share