แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยยืมเงินโจทก์และสลักหลังเช็คมอบให้โจทก์ไว้เพื่อใช้หนี้ แต่กลับไปแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าเช็คหายไป นั้น เห็นได้ชัดว่า เป็นการเสียหายต่อโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้องจำเลย เป็นคดีอาญาต่อศาลได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันโดยจำเลยที่ ๑ ออกเช็ค ๒ ฉบับโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินหรือในขณะที่ออกไม่มีเงินในบัญชี จำเลยที่ ๒ ทราบถึงการออกเช็คนี้ ได้นำเช็ค ๒ ฉบับนั้นไปหลอกลวงขอยืมเงินโจทก์ โจทก์หลงเชื่อยอมให้จำเลยที่ ๒ ยืมไป ๒๓,๗๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๒ สลักหลังเช็คไว้ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ไปแจ้งความว่าเช็ค ๒ ฉบับหายไปขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องในข้อหาฐานแจ้งความเท็จแล้วสั่งว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกข้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑, จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ให้จำคุก ๓ เดือน
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยที่ ๒ อ้างว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการที่จำเลยที่ ๒ แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนนั้น มิใช่ความเท็จ และมิได้เสียหายแก่โจทก์อย่างใดนั้น ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริงดุจกัน เพราะเมื่อศาลล่างทั้งสองฟังว่าเช็ครายพิพาทได้ตกมาอยู่ในมือโจทก์ได้อย่างไรเป็นลำดับมา จึงเชื่อว่ามิได้มีการหาย เมื่อจำเลยนำความที่รู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริงไปแจ้งเช่นนั้น จึงเห็นได้ชัดว่า เป็นการเสียหายต่อโจทก์ผู้ทรงเช็คนั้นโดยตรง อันเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่ ๒ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามความในมาตรา ๒ (๔) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาต่อศาลได้ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายเพราะความผิดฐานแจ้งความเท็จอยู่ในหมวดความผิดต่อเจ้าพนักงาน โจทก์จึงฟ้องไม่ได้ ความข้อนี้ เมื่อฟังว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรงแล้ว ทั้งไม่มีกฎหมายใดห้ามไว้โดยชัดแจ้งแล้ว โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๘ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย