แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จ.เคยฟ้องขับไล่ ส.ออกจากที่ดิน ศาลวินิจฉัยว่าการที่ ส.ให้ผู้อื่นเช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ ไม่ได้รับความยินยอมให้เช่าช่วงจาก อ.เจ้าของที่ดินเดิม ดังนี้ หาผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่
ถึงแม้โจทก์อ้างคำพิพากษาดังกล่าวเป็นพยานก็ตาม การที่ศาลฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานจากที่ปรากฏในบันทึกท้ายสัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่า กับ ส. ผู้เช่าว่า อ.ยอมให้ ส. ให้เช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ได้ มิใช่เป็นการวินิจฉัยฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๓๕ จากนายเจ็งฮี้ โปษยะจินดา มีผู้เช่าปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงนี้หลายราย จำเลยนี้อ้างว่าเช่าช่วงที่ดินเนื้อที่ ๒๐ ตารางว่า จากนายสุรินทร์ ผาติพงษ์ ผู้เช่าจากเจ้าของเดิม และปลูกบ้านอยู่ในที่ดินที่เช่าช่วงนี้โดยไม่ได้ทำสัญญากับโจทก์ และไม่ได้ชำระค่าเช่าหรือผลประโยชน์อย่างใดแก่โจทก์ โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวขอให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์แล้วแต่จำเลยไม่ออก ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวาร รื้อบ้านเรือนและทะเบียนที่ ๕๕๙/๑ ออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินแปลงนี้ เดิมเป็นของนางอุ่น โปษยะจินดา นางอุ่น โปษยะจินดา ให้นายสุรินทร์ ผาติพงษ์ เช่าและให้เช่าช่วงได้ จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนจากนายสุรินทร์เพื่อปลูกบ้าน เนื้อที่ ๔๐ ตารางว่า ค่าเช่าเดือนละ ๔๐ บาท นางอุ่นรับทราบและยินยอมการเช่าช่วงนี้ โดยมีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
โดยเหตุที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยจึงนำค่าเช่าที่ดินไปชำระให้ แต่โจทก์ไม่ยอมรับ จำเลยจึงส่งทางธนาณัติ ครั้งสุดท้ายได้แจ้งว่า ต่อไปให้โจทก์ส่งคนไปเก็บค่าเช่ามิฉะนั้นจะไม่ส่งธนาณัติอีก เพราะค่าเช่าที่จำเลยส่งไปให้โจทก์ โจทก์ไม่ตอบรับและไม่ออกใบเสร็จให้ แต่โจทก์ไม่ส่งคนไปเก็บค่าเช่า จำเลยหาใช่ฝ่ายผิดนัดติดค้างค่าเช่าไม่ การบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าของโจทก์มิได้มีเจตนาโดยเจาะจงที่จะเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย และการบอกเลิกสัญญาครั้งนั้นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว แต่ถอนฟ้องไปการบอกเลิกสัญญาครั้งนั้นย่อมสิ้นผลไป ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่า โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินตามฟ้องทั้งแปลงเดิมเป็นของนางอุ่น โปษยะจินดา นางอุ่น โปษยะจินดา ให้นายสุรินทร์ ผาติพงษ์ เช่าทั้งแปลง จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนจากนายสุรินทร์ปลูกบ้านอยู่อาศัย ต่อมาที่ดินแปลงนี้ตกเป็นของนายเจ็งฮี้ โปษยะจินดา นายเจ็งฮี้ โปษยะจินดา ขายให้โจทก์ ตามพฤติการณ์ต่าง ๆ เห็นว่า นางอุ่น โปษยะจินดา ได้ให้ความยินยอมในการที่จำเลยเช่าช่วงที่พิพาทแล้ว จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.๒๕๐๔ โจทก์ไม่มีสิทธิให้จำเลยเลิกใช้ที่ดินที่เช่าได้คดีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีกต่อไป พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายผิดจากข้อเท็จจริงในสำนวน และไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ยังโต้เถียงกันอยู่
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น และเห็นว่าศาลชั้นต้นหาได้ฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากข้อเท็จจริงในสำนวนดังโจทก์อุทธรณ์ไม่ การเช่าของจำเลยได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า ฉะนั้น เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินควบคุมจากนายเจ็งฮี้ โปษยะจินดา โจทก์ก็ต้องรับสิทธิ์และหน้าที่สืบต่อจากผู้ให้เช่าที่ดินควบคุมเดิม โจทก์ไม่มีสิทธิ์ให้จำเลยเลิกใช้ที่ดินที่เช่า ทั้งจำเลยก็มิได้ผิดนัดค้างค่าเช่า ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ในประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๘ ประกอบด้วย มาตรา ๒๔๗ บัญญัติว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน โจทก์ฎีกาอ้างว่าการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่านางอุ่น โปษยะจินดา เจ้าของที่ดินแปลงนี้คนเดิมยินยอมให้นายสุรินทร์ผู้เช่า ให้เช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ได้นั้น เป็นการฝ่าฝืนพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งโจทก์ได้อ้างคำพิพากษาของศาลแพ่งกับของศาลอุทธรณ์ในคดีที่ นายเจ็งฮี้ โปษยะจินดา ฟ้องขับไล่นายสุรินทร์ออกจากที่ดินแปลงนี้ ตามสำนวนคดีแดงที่ ๑๖๙๑/๒๕๐๑ ของศาลแพ่งเป็นพยานในคดีนี้ไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีดังกล่าว การที่นายสุรินทร์ ผาติพงษ์ ให้ผู้อื่นเช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ เป็นการเช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางอุ่น โปษยะจินดา แต่อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาของศาลทั้งสองดังกล่าวนี้ก็หาผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยวินิจฉัยพยานหลักฐานจากที่ปรากฏตามบันทึกท้ายสัญญาเช่าสวนระหว่างนางอุ่น โปษยะจินดา ผู้ให้เช่า กับนายสุรินทร์ ผาติพงษ์ ผู้เช่า ว่านางอุ่น โปษยะจินดา ยอมให้นายสุรินทร์ ผาติพงษ์ ผู้เช่าให้เช่าช่วงที่ดินแปลงนี้ได้ จึงเป็นการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน หาได้ฝ่าฝืนดังที่โจทก์ฎีกาไม่ เมื่อปรากฏว่านางอุ่น โปษยะจินดา ยินยอมให้นายสุรินทร์ ผาติพงษ์ ผู้เช่าให้เช่าช่วงได้ และที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินควบคุม จำเลยย่อมอยู่ในฐานะผู้เช่า ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๒๗/๒๔๙๗ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า ๒ ครั้งติดๆ กัน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยมิได้ผิดนัด โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อนี้ไม่ได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นอื่นที่โต้เถียงกันนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวนั้นไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีเป็นอย่างอื่นได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน