คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อให้เกิดสัญญาคู่สัญญากับโจทก์โอนประโยชน์แห่งสัญญาให้แก่จำเลยจำเลยยอมรับสิทธิและบรรดาความรับผิดตามสัญญานั้นกับโจทก์เสมอมา นับว่าเกิดนิติสัมพันธ์ขึ้นระวางโจทก์จำเลยแล้ว คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง ผิดสัญญาอีกฝ่าย 1 ไม่ฟ้องร้อง แต่กลับทำสัญญายอมรับฐานะใหม่ดังนี้ คู่สัญญาก็ย่อมมีสิทธิแลหน้าที่ตามฐานะใหม่นั้นจะยกเอาข้อผิดสัญญาเดิมมาว่ากล่าวกันไม่ได้ คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการแลคำสั่งเจ้าพนักงานโลหะกิจกำหนดค่าธรรมเนียมตาม พ.ร.บ.การทำเหมืองแร่ พ.ร.บ.การทำเหมืองแร่ไม่มีบทให้อุทธรณ์ได้ วิธีพิจารณาความแพ่งข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างยังมิได้ชี้ขาดมาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้พิจารณาพิพากษาใหม่ฉะเพาะข้อนั้น ๆ ได้

ย่อยาว

เดิมบริษัท ป.ทำสัญญากับโจทก์ว่าบริษัทมีสิทธิจะซื้อหรือไม่ซื้อการทำเหมืองแร่จากโจทก์ ถ้าบริษัทใช้สิทธิซื้อแล้ว โจทก์ต้องขายแลบริษัทต้องซื้อทรัพย์สินแลสิทธิในการทำเหมืองของโจทก์เป็นราคา ๓๐๐๐๐๐ เหรียญชำระเงินสดครึ่ง ๑ อีกครึ่ง ๑ เป็นหุ้นในบริษัทที่จะตั้งขึ้นตามสัญญา ในสัญญาโจทก์ต้องขอประทานบัตร์โดยเร็ว และเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ โจทก์ต้องจัดการให้ได้สิทธิผิวดิน สิทธิลำคลองโดยค่าใช้จ่ายของตน แล้วโอนให้บริษัท ส่วนประโยชน์อันเกิดจากสัญญาบริษัทโอนต่อไปได้ ต่อมาบริษัท ป.ใช้สิทธิซื้อและด้วยความเห็นชอบของโจทก์ได้ตั้งบริษัท จำเลยขึ้นเพื่อทำเหมืองรายนี้ ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นเรื่องราวขอประทานบัตร์จากรัฐบาลรวมเนื้อที่ ๑๒๘๔ ไร่และได้เสียเงินให้แก่รัฐบาลตาม พ.ร.บ.การทำเหมืองแร่ ม.๒๑ ซึ่งเป็นเงินค่าสิทธิลำคลองด้วย ๒๒๓๒๕ บาท โจทก์ได้ร้องขอต่อรัฐบวกขอทำเหมืองชั่วคราวด้วย แต่ถูกยกเมื่อ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๑ โจกท์ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาแต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๑ บริษัทจำเลยยื่นเรื่องราวขออนุญาตทำเหมืองชั่วคราวในที่พิพาทต่อเกษตร วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๑ เจ้าหน้าที่ออกใบอนุญาตชั่วคราวให้บริษัท จำเลยในวันเดียวกันจำเลยให้คำมั่นต่อกระทรวงเกษตร์ว่าจะยอมจ่ายเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาระวางบริษัท ป.กับโจทก์ให้แก่โจทก์ในส่วนที่เหลือจากหักจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าซื้อสิทธิทำเหมือง และสิทธิผิวดิน
รัฐบาลเรียกค่าสิทธิลำคลองมากกว่าเรียกไว้จากโจทก์ จำเลยคัดค้านแต่แล้วก็ยอมชำระให้ ทั้งโจทก์ไม่สามารถได้มาซึ่งสิทธิผิวดิน จำเลยจึงติดต่อกับรัฐบาลและชำระค่าสิทธิผิวดินแก่เจ้าของ เมื่อจำเลยได้รับประทานบัตร์แล้ว จึงออกใบหุ้นให้โจทก์ราคา ๑๕๐๐๐๐ เหรียญ กับได้ส่งบัญชีค่าใช้จ่ายและเงินเดือนที่เหลือให้โจทก์ โจทก์ยอมรับเงินแล้วแต่คัดค้านไม่ยอมให้หักในรายการบางอย่าง โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าจำเลยสอดเข้าขอประทานบัตร์ เป็นเหตุให้โจทก์พ้นวิสัยได้มาซึ่งประทานบัตร์ ฉะนั้นจำเลยจะหักเงินใด ๆ ไม่ได้ นอกจากค่าซื้อสิทธิผิวดิน ๖๗ ไร่เศษ จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๑๓๒๘๐๑ บาท ๕๐ สตางค์ ให้โจทก์โดยหักค่าสิทธิผิวดิน ๖๗ ไร่ เศษออกเสียก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัท ป.ได้ตั้งบริษัท จำเลยขึ้น และได้โอนประโยชน์แห่งสัญญาเดิมให้แก่จำเลย จึงเกิดสัญญาใหม่แทนสัญญาเก่า บรรดาสิทธิและความรับผิดต่อโจทก์ตามข้อสัญญาอยู่เนื่อง ๆ ข้อค้านของจำเลยในข้อว่าไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อที่ว่ากระทรวงเกษตร์ยกเรื่องราวของโจทก์นั้นเนื่องจากเหตุที่จำเลยสอกเข้าเกี่ยวข้องหรือไม่นั้นไม่ต้องวินิจฉัยถึงเพราะโจทก์ได้ทำสัญญากับจำเลยยอมรับฐานะใหม่อันเกิดแต่การที่กระทรวงเกษตร์สั่งยกเรื่องราวขอประทานบัตร์ของโจทก์และออกใบอนุญาตทำเหมืองแร่ชั่วคราวให้แก่บริษัทจำเลยตามสัญญานี้ว่าจะปฏิบัติตามสัญญาเดิมที่เกี่ยวด้วยสิทธิผิวดิน จำเลยยินดีตั้งโจทก์เป็นตัวแทนจัดการกับเจ้าของสิทธิผิวดิน ฝ่ายโจทก์ตกลงเป็นผู้ใช้ค่าสิทธิผิวดินตามความในสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท ฉะนั้นจำเลยจึงมีสิทธิหักเงินค่ารังวัดและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ อันเกี่ยวแก่การออกประทานบัตร์และค่าใช้ จ่ายเพื่อได้มาซึ่งสิทธิผิวดิน และสิทธิลำคลอง ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเช่นค่าพาหนะเดินทางหรือค่าทนายความ จะหักเอาโดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ไม่ได้
แต่จำนวนเงินค่าสิทธิผิวดินนอกจากที่อนุญาตตุลาการชี้ขาดนั้น จะควรหักเอาจากโจทก์ได้หรือไม่เพียงใด กับจำนวนเงินที่โจทก์ใช้แก่รัฐบาล รัฐบาลได้คืนให้โจทก์แล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้คืนจำเลยคิดหักไว้ให้เป็นคุณแก่โจทก์ตามบัญชีท้ายฟ้องแล้วหรืออย่างไร ปัญหาเหล่านี้ยังไม่ปรากฎข้อเท็จจริงในคำพิพากษาศาลล่าง อนึ่งคำชี้ขาดของอนุญาตตุลาการดำเนินตาม พระราชบัญญัติเหมืองแร่มาตรา ๗๕ คำสั่งกรมราชโลหะกิจกำหนดจำนวนค่าธรรมเนียมค่าเช่าทางน้ำก็ดี ไม่มีบทบัญญัติใน พ.ร.บ.การทำเหมืองแร่ให้อุทธรณ์ได้จึงพิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามแนวแห่งคำพิพากษาฎีกานี้

Share