แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสารภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วแต่ก่อนที่จำเลยจะฟ้องอุทธรณ์ แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นพยานเอกสารและได้แก้ไขข้อหลงลืมแล้ว ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ถึงกับเสียไป ศาลฎีกาย่อมรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวของโจทก์มาประกอบการวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์ จำเลยรับซื้อสุกรมีชีวิตจากโจทก์ไปฆ่าจำหน่ายวันละ 6 ตัว ในราคาที่มากกว่าที่โจทก์ซื้อจากสมาชิกกิโลกรัมละ 50 สตางค์ โดยชำระเงินค่าสุกรครบถ้วนเป็นบางครั้ง ต่อมาพนักงานบัญชีของโจทก์ได้ทำการแก้ไขสำเนาคู่ฉบับใบเสร็จรับเงินให้จำนวนเงินสูงขึ้นกว่าที่จำเลยชำระจริง โจทก์แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานโจทก์แล้ว เมื่อคิดบัญชีกันใหม่ตามความเป็นจริง จำเลยคงค้างชำระค่าสุกรเป็นจำนวนเงิน134,398.50 บาท โจทก์ทวงถามแต่จำเลยไม่ชำระ ขอบังคับให้จำเลยใช้เงิน 144,478.38 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ได้ค้างชำระราคาสุกรเพราะถ้าไม่ชำระให้เสร็จโจทก์ก็จะไม่ขายสุกรงวดต่อไปให้และถ้าหากค้างชำระบางส่วนก็จะต้องมีหนี้ของจำเลยปรากฏในบัญชีหรือหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จะอ้างความทุจริตของพนักงานโจทก์มาให้จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 134,398.50 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยมีว่า พยานเอกสารที่โจทก์นำสืบประกอบพยานบุคคลในศาลชั้นต้นจำนวน 12 ฉบับ เป็นพยานเอกสารที่ศาลฎีการับฟังได้หรือไม่ โดยจำเลยกล่าวอ้างว่าศาลฎีการับฟังมาประกอบคดีไม่ได้เพราะโจทก์ชำระค่าอ้างเอกสารดังกล่าว ภายหลังที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาแล้วแสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นพยานเอกสารเห็นว่า การที่โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสารแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นพยานเอกสารแล้ว แม้จะชำระภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแต่ก่อนที่จำเลยจะฟ้องอุทธรณ์นับว่าโจทก์ได้แก้ไขข้อหลงลืมแล้ว ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ถึงกับเสียไปแต่อย่างใด ศาลฎีกาย่อมรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวของโจทก์มาประกอบการวินิจฉัยคดีได้”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์