คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1957/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแก้ไขคำพิพากษาตามคำร้องของจำเลยจากการให้จำเลยชำระเงิน 5,267,594.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เป็นให้จำเลยชำระเงิน 5,267,594.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,627,729.55บาท นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น เป็นการแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องตรงกับเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่กล่าวไว้ในคำพิพากษาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดของต้นเงินค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้แต่ละฉบับ เมื่อคิดถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน 5,267,594.91 บาท จำนวนเงินดังกล่าวจึงเป็นยอดรวมของค่าสินค้ากับดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดถึงวันฟ้อง ทั้งเมื่อรวมค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้แต่ละฉบับเข้าด้วยกันแล้วจะได้เท่ากับ 4,627,729.55 บาท ตรงกับต้นเงินที่จำเลยต้องรับผิดพร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ดังนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่แก้ไขคำพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง กรณีมิใช่เป็นการทำคำสั่งซึ่งเป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาเดิม

ย่อยาว

สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 5,267,594.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยยื่นคำร้องว่า คำพิพากษาที่กำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 5,267,594.91 บาท นั้น ต้นเงินดังกล่าวได้คิดรวมค่าสินค้ากับดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยผิดนัดจนถึงวันฟ้องเข้าไว้ด้วยกัน ขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขคำพิพากษาให้ถูกต้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของจำเลยมิใช่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษา ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้แก้ไขข้อผิดพลาดในคำพิพากษาเป็น “พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 5,267,594.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน4,627,729.55 บาท นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์” นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเดิม

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้แก้ไขข้อความในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจากที่พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน5,267,594.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มีนาคม2542 เป็นต้นไป เป็นให้จำเลยชำระเงิน 5,267,594.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,627,729.55 บาท นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปเป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาเดิมหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้แก้ไขข้อความในคำพิพากษาดังกล่าว เป็นการแก้ไขต้นเงินที่จะนำไปคำนวณดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิด นับแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 อันเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปนั้น เป็นไปตามเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า จำเลยได้ซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไปจากโจทก์ เป็นเงิน 4,627,729.55 บาท แล้วฟังต่อไปว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าสินค้าดังกล่าวตามกำหนดในใบแจ้งหนี้ จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาใบแจ้งหนี้แล้ว จึงให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดของต้นเงินค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้แต่ละฉบับ เมื่อคำนวณถึงวันฟ้องแล้ว รวมเป็นเงิน5,267,594.91 บาท ตรงตามจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดจนถึงวันฟ้อง จำนวนเงินดังกล่าวนี้จึงเป็นยอดรวมของค่าสินค้ากับดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดถึงวันฟ้อง ทั้งเมื่อรวมค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้แต่ละฉบับเข้าด้วยกันแล้ว จะได้เท่ากับ4,627,729.55 บาท ตรงกับต้นเงินที่จำเลยต้องรับผิดพร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้แก้ไขในคำพิพากษานั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้แก้ไขคำพิพากษาดังกล่าว จึงเป็นการแก้ไขเพื่อให้ถูกต้องตรงกับเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่กล่าวไว้ในคำพิพากษา และถือว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย มิใช่เป็นการทำคำสั่งซึ่งเป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาเดิม จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเช่นว่านั้นให้ถูกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share