แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การไว้ หากศาลอุทธรณ์เห็นสมควรศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้ หาใช่อุทธรณ์ที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา225 ไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยไม่ได้ให้การไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นจึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง หากศาลฎีกาเห็นสมควรย่อมวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ดังกล่าวได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ปรากฏว่านายทะเบียนได้มีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2529 ซึ่งมี พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น จึงเป็นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสิทธิที่มีอยู่ตามมาตรา41 (1) แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ดังนี้ บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีนี้จึงได้แก่บทบัญญัติมาตรา 41 (1) ดังกล่าว อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาท หาใช่บทบัญญัติมาตรา 67 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันไม่
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย แต่จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้ ดังนั้น ปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าโจทก์หรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั้น ปรากฏว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามิได้เป็นคู่ความในคดี กรณีจึงไม่อาจพิพากษาให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกปฏิบัติตามคำขอบังคับท้ายฟ้องของโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “SPORTMAX” ซึ่งได้รับโอนมาโดยถูกต้องและสุจริตจากบริษัทแม็คซ์มารา เอส.พี.เอ. โจทก์ได้นำเครื่องหมายการค้านี้ไปยื่นขอจดทะเบียน ต่อมาวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ โจทก์ได้รับแจ้งจากนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จำเลยได้ยื่นขอจดทะเบียนไว้แล้วเมื่อวันที่๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ การที่จำเลยลักลอบนำเอาเครื่องหมายการค้าคำว่า”SPORTMAX” ไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าของจำเลยเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ในทางการค้าจากเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทำให้คำขอของโจทก์ไม่ได้รับจดทะเบียน ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า “SPORTMAX” ตามคำขอจดทะเบียนเครื่องหมาย-การค้าเลขที่ ๒๐๘๑๔๘ ดีกว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลย คำว่า “SPORTMAX” ทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๑๐๔๘๓๗ ให้จำเลยเพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๑๕๑๖๗๑ ทะเบียนเลขที่ ๑๐๔๘๓๗หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยกับสั่งให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ ๒๐๘๑๔๘ ของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะเลิกใช้เครื่องหมาย-การค้า
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและมิได้ใช้เครื่องหมายการค้านี้มานานตามที่อ้าง ส่วนจำเลยใช้มานาน ๑๐ กว่าปีแล้ว จำเลยมิได้ละเมิดหรือเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จำเลยคิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าของจำเลยเอง จำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า”SPORTMAX” ดีกว่าจำเลย ให้เพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย และให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากฟ้องเกินกำหนดระยะเวลา ๕ ปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๖๗ หรือไม่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากฟ้องเกินกำหนดระยะเวลา ๕ ปี แล้วหรือไม่นั้น จำเลยมิได้ให้การไว้เป็นที่ชัดแจ้ง จึงเป็นข้อที่ยังมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน กรณีเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การไว้หากศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้ หาใช่อุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นการที่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวน ปัญหานี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเลขที่ ๑๐๔๘๓๗ โดยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ปรากฏว่านายทะเบียนได้มีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเมื่อวันที่๘ ตุลาคม ๒๕๒๙ ซี่งมีพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.๒๔๗๔ ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น จึงเป็นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสิทธิที่มีอยู่ตามมาตรา ๔๑ (๑)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีนี้จึงได้แก่บทบัญญัติมาตรา ๔๑ (๑) ดังกล่าว อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาท หาใช่บทบัญญัติมาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.๒๕๓๔ อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันไม่ กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา ๖๗ ดังกล่าวมาวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ดังที่จำเลยฎีกาได้โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ตามที่มาตรา ๔๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.๒๔๗๔ บัญญัติให้ความคุ้มครองไว้
ส่วนปัญหาตามฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยมีว่า จำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า “SPORTMAX” ดีกว่าโจทก์หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลยจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้ ดังนั้น ปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าโจทก์หรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ ๒๐๘๑๔๘ ของโจทก์ต่อไปนั้นปรากฏว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ จึงไม่อาจพิพากษาให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกปฏิบัติตามคำขอบังคับท้ายฟ้องของโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า”SPORTMAX” ตามคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๒๐๘๑๔๘ และคำว่า “SPORT MAX” ตามทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๑๐๔๘๓๗ ดีกว่าจำเลย ให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเลขที่ ๑๐๔๘๓๗คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก.