คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1957/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยสองคนฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แม้ศาลจะมิได้สั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพื่อให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ และโจทก์ก็แถลงขอสืบพยานโดยมิได้แถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ก็ดี ศาลก็จะฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ก็กระทำผิดฐานลักทรัพย์ด้วย และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์หาได้ไม่(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2515)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม 2512 ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2512 มีคนร้ายงัดแงะประตูอาคารเคหะสถานเข้าไปลักทรัพย์ของนางซิ้วจีนไป 11 รายการ ราคา 3,135 บาท วันที่ 23 พฤษภาคม 2512 เวลากลางคืนเจ้าพนักงานจับนายสุวิทย์จำเลยที่ 1 ได้พร้อมด้วยทรัพย์ตามบัญชีของกลางท้ายฟ้องเว้นอันดับ 9 และ 11 วันที่ 23 พฤษภาคม 2512 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับนายตี๋น้อยจำเลยที่ 2ได้พร้อมด้วยทรัพย์ของกลางอันดับ 9 และ 11 ทั้งนี้ จำเลยบังอาจเป็นคนร้ายร่วมกันลักทรัพย์ของนางซิ้วจีนไป หรือมิฉะนั้นจำเลยสมคบร่วมกันรับทรัพย์ของกลางไว้ โดยรู้ว่าเป็นของที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าได้รับของโจร จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าได้รับของโจรทรัพย์ของกลางตามฟ้อง โจทก์มิได้แถลงว่าพอใจตามที่จำเลยสารภาพหรือไม่ จึงต้องฟังพยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบ เมื่อพิเคราะห์พยานแล้วเชื่อว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายจริงตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7)(8) และ 83 ให้จำคุกคนละ 5 ปี

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานรับของโจร

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 1 รับสารภาพว่ารับของโจร จึงมีความผิดฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 2 พยานโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ให้จำคุก 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้มีอัตราโทษซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดอัตราอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป ทั้งสองฐาน และศาลมิได้สั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งให้การปฏิเสธเพื่อให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ โจทก์มิได้แถลงยอมรับข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 แต่แถลงขอสืบพยานต่อไป การที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าหากข้อเท็จจริงฟังตามที่โจทก์ฟ้องในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง โจทก์ย่อมพอใจหากโจทก์ประสงค์จะขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว โจทก์ก็ต้องฟ้องจำเลยทั้งสองมาในข้อหาฐานลักทรัพย์เพียงข้อหาเดียว จำเลยที่ 1 ซึ่งรับสารภาพก็คงเข้าใจอย่างเดียวกันนี้ จึงแถลงไม่สืบพยานศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรแล้ว ก็จะพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์ไม่ได้

ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังลงโทษ

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฎีกาโจทก์

Share