แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน โดยใช้เก้าอี้ตีทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 แล้ววิ่งไล่ตามจำเลยที่ 2 ไป จำเลยที่ 2 ได้ใช้ปืนยิงจำเลยที่ 1 ก่อน 3 นัด นัดแรกถูกที่แขนซ้าย นัดที่ 2 ไม่ถูก นัดที่ 3ถูกนิ้วชี้ สิ้นเสียงปืนนัดที่ 3 แล้วจำเลยที่ 1 ก็เข้าถึงตัวจำเลยที่ 2และแทงจำเลยที่ 2 ไป 1 ที ถูกที่อกด้านขวาเหนือรักแร้ บาดแผลขนาด 2X3 เซนติเมตร ถึงสาหัส เป็นการเข้าประชิดตัวแทงโดยกระทันหันในเวลากลางคืน หลังจากถูกยิงบาดเจ็บแล้ว และแทงสุ่มไปโดยไม่มีโอกาสจะเลือกกำหนดได้ว่าจะแทงส่วนไหนของร่างกาย หากแต่บังเอิญไปถูกที่อกทะลุช่องปอด พฤติการณ์ประกอบบาดแผลยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มี เจตนาฆ่า ควรลงโทษเพียงฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมัครใจวิวาททำร้ายและพยายามฆ่าซึ่งกันและกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่ากระทำเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานพยายามฆ่า ส่วนจำเลยที่ ๒ กระทำเพื่อป้องกันตัว ไม่มีความผิด พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ให้จำคุก ๑๐ ปีคำให้การชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๖ ปี ๘ เดือน และนับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาแดงที่ ๕/๒๕๑๔ จำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ คดีส่วนตัวจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน โดยใช้เก้าอี้ตีทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๒ แล้ววิ่งไล่ตามจำเลยที่ ๒ ไป แต่ก่อนที่จำเลยที่ ๑จะแทงจำเลยที่ ๒ นั้น จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ปืนยิงจำเลยที่ ๑ ก่อน ๓ นัด นัดแรกถูกที่แขนซ้าย นัดที่ ๒ ไม่ถูก นัดที่ ๓ ถูกนิ้วชี้ สิ้นเสียงปืนนัดที่ ๓ แล้ว จำเลยที่ ๑ก็เข้าถึงตัวจำเลยที่ ๒ และแทงจำเลยที่ ๒ ไป ๑ ที ถูกที่อกด้านขวาเหนือรักแร้บาดแผลขนาด ๒ x ๓ เซนติเมตร ถึงสาหัส ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากถูกยิงบาดเจ็บแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงเข้าประชิดตัวแล้วแทงจำเลยที่ ๒ ไป ๑ ที โดยกระทันหันในเวลากลางคืน น่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ คงจะแทงสุ่มไปโดยไม่มีโอกาสจะเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงส่วนไหนของร่างกาย หากบังเอิญไปถูกที่อกทะลุช่องปอด พฤติการณ์ดังกล่าวประกอบบาดแผลยังไม่พอชี้ชัดว่า จำเลยที่ ๑ มีเจตนาฆ่า ควรลงโทษเพียงฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ รับอันตรายสาหัส
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๗ ให้จำคุก ๓ ปี คำให้การจำเลยที่ ๑ ชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ปรานีลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘คงจำคุก ๒ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์