แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาจำเลยย่อมนำสืบตามข้ออ้างของตน ซึ่งอาจเป็นการนำสืบหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเอกสารใดๆ ได้ทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะประมวลวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีข้อจำกัดห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารในบางกรณีไว้ดังประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
( วินิจฉัยทำนองเดียวกับคำพิพากษาฎีกาที่ 1210/2511 )
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ให้เรียงกระทงลงโทษตามเช็คแต่ละฉบับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคุกกระทงละ ๒ เดือน รวม ๘ กระทง จำคุก ๑๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยาน หลักฐานของจำเลยโดยชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ส่งเอกสารสัญญากู้เป็นหลักฐานในคดี และมีการตรวจพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพันตำรวจเอกกิจจา สุนทรส เบิกความเป็นพยานว่าเป็นหรือน่าจะเป็นลายมือชื่อของจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข ข้อความที่ปรากฏในสัญญากู้ที่โจทก์นำมาแสดงต่อศาลเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบ เห็นว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องมีทั้งเช็คที่มีมูลหนี้จริงและไม่จริง และ บังคับได้กับบังคับไม่ได้ตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย เมื่อโจทก์มิได้นำสืบเกี่ยวกับมูลหนี้เหล่านี้ให้ได้ความชัดแจ้ง ทั้งตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.๒๒ ที่นายธงทอง รักตประจิต ทนายความบิดาจเลยได้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานเป็น ผู้ไกล่เกลี่ยก่อนโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๑,๙๘๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้เพียง ๑,๒๓๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเจือสมตามที่จำเลยนำสืบว่า ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไปบ้างแล้วบางส่วนเป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ ถึง ๖๐๐,๐๐๐ บาท และเมื่อพิจารณาถึงเจรจาในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๓๙ ซึ่งได้ความว่า โจทก์ยอมผ่อนผันให้จำเลยชำระเงินตามเช็คเพียง ๕๐๐,๐๐๐ บาท ภายในเวลา ๓ เดือน เมื่อโจทก์ได้รับเงินดังกล่าวแล้วจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญากับจำเลยอีกต่อไปจึงฟังว่ามีมูลหนี้ที่แท้จริงเพียง ๕๐๐,๐๐๐ บาท และน่าเชื่อว่าจำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ด้วยวิธีอื่น เช่น การมอบเครื่องประดับหักชำระหนี้ นอกเหนือจากที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีให้โจทก์ และชำระหนี้เงินสดให้โจทก์อีกด้วย ซึ่งน่าจะครอบคลุมมูลหนี้ที่แท้จริงแล้ว ซึ่งการฟังข้อเท็จจริงดังกล่าว ในเบื้องต้นศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ออกเช็คชำระหนี้ตามสัญญากู้ให้ แก่โจทก์ตามฟ้อง แต่เช็คเอกสารหมาย จ.๑, จ.๓, จ.๗ และ จ.๙ เป็นเช็คที่มีอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดรวมเข้าอยู่ด้วย จึงเป็นเช็คที่ไม่สามารถบังคับได้และทางนำสืบของจำเลยโดยมีพยานโจทก์เบิกความเจือสมฟังได้ว่ามูลหนี้ที่แท้จริงมีเพียง ๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นจำนวนลดน้อยลง หรือแก้ไขเอกสารใด ๆ ได้ทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหาได้มีข้อจำกัดห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเอกสารในบางกรณีไว้ดังประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ดุจโจทก์ฎีกามาไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน