คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ติดต่อกัน โดยที่ดินของจำเลยแปลงหนึ่งอยู่ติดถนนฟากตะวันตกตรงกันข้ามกับที่ดินของจำเลย อีกแปลงหนึ่งซึ่งติดต่อกับที่ดินโจทก์ฟากตะวันออกทั้งโจทก์จำเลยต่างใช้ที่ดินทำนาข้าวโดยอาศัยน้ำฝน เมื่อฝนตก น้ำฝนจะไหลจากที่ดินของผู้อื่นทางทิศตะวันออกมาสู่ที่ดินโจทก์จำเลยทางทิศตะวันออกเขตถนน แล้วไหลผ่านท่อระบายน้ำผ่านถนนลงที่นาจำเลยแปลงทิศตะวันตก จำเลยทำคันดินหรือพนังขวางทางน้ำไหลจากท่อระบายมิให้ลงสู่ที่นาของจำเลยดังที่เคยเป็นมา เป็นเหตุให้น้ำทางฟากถนนตะวันออกเอ่อท่วมทั้งที่นาจำเลยกับที่นาโจทก์มีระดับสูงแค่อก โจทก์ใช้ประโยชน์ที่ดินทำนาไม่ได้ แม้จะฟังได้ว่าจำเลยทำคันดินหรือพนังกั้นน้ำเพื่อมิให้น้ำซึ่งไหลจากท่อระบายเข้านาทำความเสียหายแก่ข้าวกล้าของจำเลยและไม่ใช่กรณีน้ำที่ไหลจากพื้นดินสูงลงสู่พื้นดินต่ำตามธรรมดา แต่ก็ได้ความว่า ถ้าจำเลยแก้ไขทำเหมืองให้น้ำผ่านนาของจำเลยไป ความเสียหายของโจทก์ผู้มีที่นาใกล้เคียงอีกฟากหนึ่งของถนนก็จะไม่เสียหายเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรแต่จำเลยก็ไม่ยอมแก้ไขเพื่อบรรเทาผลร้ายของโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ปิดกั้นน้ำโดยทำคันดินหรือพนังดังกล่าวจึงเป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นเป็นละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และโจทก์มีสิทธิที่จะปฏิบัติการให้ความเสียหายนั้นสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่คนละฟากถนน น้ำฝนไหลผ่านจากที่ดินแปลงอื่นมารวมที่ที่ดินโจทก์แล้วไหลผ่านท่อลอดใต้ถนนไปสู่ที่นาของจำเลยเป็นประจำตลอดมา ต่อมาจำเลยได้ทำพนังกั้นน้ำ เป็นเหตุให้น้ำเอ่อท่วมที่ดินโจทก์จนไม่สามารถทำนาได้ ทำให้โจทก์เสียหาย 18,000 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยเปิดพนังกั้นน้ำ หากไม่ปฏิบัติขอให้โจทก์ทำโดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย และให้ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า ท่อลอดใต้ถนนอยู่ในที่ดินของจำเลย น้ำท่วมนาโจทก์เพราะทางราชการทำถนนสูงขึ้น กระแสน้ำไหลผ่านท่อระบายลงสู่ที่ดินนาของจำเลยอย่างแรง จำเลยจึงต้องทำพนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวในนาเสียหาย เป็นการใช้สิทธิโดยชอบและไม่เป็นการก่อให้เกิดแต่ความเสียหายแก่ผู้อื่น ไม่เป็นละเมิด

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดพนังกั้นน้ำตรงแนวฝั่งท่อลอดใต้ถนนทั้งสองแห่ง ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์ทำโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 6,000 บาทแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงคงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบว่าที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ติดกันตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง โดยที่ดินของจำเลยแปลงหนึ่งอยู่ติดถนนฟากตะวันตกตรงกันข้ามกับที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่งซึ่งติดต่อกับที่ดินของโจทก์ฟากถนนตะวันออก ทั้งโจทก์จำเลยต่างใช้ประโยชน์ในที่ดินทำนาข้าวโดยอาศัยน้ำฝน เดิมเมื่อมีฝนตกน้ำฝนจะไหลจากที่ดินสูงทางทิศตะวันออกสู่ที่ดินของโจทก์จำเลยทางทิศตะวันออกของถนน และไหลลอดผ่านท่อระบายน้ำกับข้ามถนนลงยังที่นาของจำเลยแปลงทิศตะวันตกแล้วไหลไปสู่ลำเหมืองในที่สุดซึ่งโจทก์จำเลยก็ทำนาปลูกข้าวได้เป็นปกติ ครั้นราว พ.ศ. 2519 ทางการได้ปรับปรุงยกระดับถนนตอนนี้ให้สูงขึ้นจนน้ำฝนไม่อาจไหลข้ามถนนได้ คงไหลผ่านท่อระบายน้ำ 2 ช่อง ซึ่งอยู่ตรงที่นาจำเลยแปลงทิศตะวันออกลงที่นาจำเลยแปลงทิศตะวันตก ต่อมา พ.ศ. 2520 จำเลยได้ทำคันดินหรือพนังยาวขนานตามแนวเขตที่ดินติดถนนฟากตะวันตกมีความยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้ประมาณ 30 เมตร เพื่อกันมิให้น้ำที่ไหลจากท่อระบายดังกล่าวลงสู่ที่นาของจำเลย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคงมีว่า การที่จำเลยทำคันดินหรือพนังกั้นน้ำมิให้เข้าในที่นาของจำเลยจะเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ พิเคราะห์เห็นว่าปัญหานี้โจทก์มีพยานโดยเฉพาะนายจิตรกำนันตำบลท้องที่เบิกความว่าเมื่อได้รับคำร้องเรียนจากโจทก์แล้วได้ไปดูที่นาของโจทก์จำเลยรายพิพาท เห็นจำเลยทำคันดินหรือพนังขวางทางน้ำไหลจากท่อระบายมิให้ลงสู่ที่นาจำเลยเหมือนดังที่เคยเป็นมา แม้จำเลยจะทำร่องให้น้ำไหลขนานกับถนนกว้างประมาณ 2 เมตร จากทิศเหนือไปทิศใต้ แล้ววกลงทิศตะวันตกสู่ลำเหมือง แต่ก็เป็นการทำร่องระบายขึ้นที่ดินที่เป็นเนินสูงน้ำไหลไม่สะดวกเป็นเหตุให้น้ำทางฟากถนนตะวันออกเอ่อท่วมทั้งที่นาจำเลยกับที่นาโจทก์มีระดับสูงแค่อก โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินทำนาไม่ได้คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ15 ไร่ นายจิตรขอร้องให้จำเลยเปิดคันดินหรือพนังเป็นทางน้ำเหมือนเดิม แต่จำเลยไม่ยินยอมจนนายจิตรทำรายงานเสนอนายอำเภอปะเหลียนทราบตามหนังสือเอกสารหมาย จ.2 ดังนี้ เห็นว่านายจิตรเป็นกำนันท้องที่ไม่มีสาเหตุกับฝ่ายใด ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อตามที่นายจิตรเบิกความมา แม้ข้อนำสืบของจำเลยจะฟังได้ว่า ที่จำเลยต้องทำคันดินหรือพนังกั้นน้ำเพื่อมิให้น้ำซึ่งไหลจากท่อระบายเข้านาทำความเสียหายแก่ข้าวกล้าของจำเลย และกรณีจะเป็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า น้ำที่ไหลจากท่อระบายน้ำไม่ใช่น้ำที่ไหลจากพื้นดินสูงลงสู่พื้นดินต่ำตามธรรมดา จำเลยไม่จำต้องยอมรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 ก็ตาม แต่คดีก็ได้ความตามที่โจทก์จำเลยนำสืบประกอบกับเอกสารการเปรียบเทียบของนายอำเภอปะเหลียนหมาย จ.3 ว่า ถ้าจำเลยแก้ไขทำเหมืองให้น้ำผ่านนาของจำเลยไป ความเสียหายของโจทก์ผู้มีที่นาไกล้เคียงอีกฟากหนึ่งของถนนก็จะไม่เสียหายเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร แต่จำเลยก็ไม่ยอมแก้ไขเพื่อบรรเทาผลร้ายของฝ่ายโจทก์ การกระทำของจำเลยที่ปิดกั้นน้ำโดยทำคันดินหรือพนังดังกล่าวจึงเป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นเป็นละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และโจทก์มีสิทธิที่จะปฏิบัติการให้ความเสียหายนั้นสิ้นไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1337 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิด ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share