คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คำพิพากษาของศาลจังหวัดนครปฐมแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวกำหนดเงื่อนไขให้โจทก์ปฏิบัติ การที่โจทก์เลือกที่จะโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวและอาคารพาณิชย์ให้แก่จำเลยแทนการชำระเงิน หรือนำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้จำเลย ก็แสดงชัดเจนในตัวว่าโจทก์ยอมให้สิ่งปลูกสร้างซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินของโจทก์เพื่อให้จำเลยนำออกให้เช่าและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในลักษณะสิทธิเหนือพื้นดิน เมื่อจำเลยตกลงด้วยตามบันทึกข้อตกลงจึงเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นโดยผลของการปฏิบัติตามคำพิพากษาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจบอกเลิกหรือปฏิบัติให้เป็นอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์เพื่อให้สิ่งปลูกสร้างของจำเลยซึ่งได้มาโดยผลแห่งคำพิพากษาตั้งอยู่บนที่ดินของโจทก์เพื่อเก็บดอกผลค่าเช่าต่อไป ที่จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการอาศัยสิทธิตามคำพิพากษาจึงไม่เป็นละเมิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารและรื้อถอนอาคารตึกแถว เลขที่ 40/1 ถึง 40/6, 40/7 ถึง 40/30 40/123 ถึง 40/127 และอาคารพาณิชย์เลขที่ 40/59, 40/60 ของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จำนวน 168,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 70,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารและรื้อถอนตึกแถวคอนกรีตพร้อมอาคารพาณิชย์ออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่าศาลจังหวัดนครปฐมแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาให้โจทก์ (จำเลยคดีก่อน) และจำเลย (โจทก์คดีก่อน) หย่าขาดจากกัน โดยวินิจฉัยว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 20927 และ 20934 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้โจทก์แบ่งสิ่งปลูกสร้างตึกแถวและอาคารพาณิชย์ซึ่งตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลย หากไม่ยอมให้ใช้ราคาเป็นเงิน 4,700,000 บาท ให้แก่จำเลย หากไม่ยอมแบ่งหรือชดใช้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้จำเลยครึ่งหนึ่ง ต่อมาโจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดนครปฐม โดยโจทก์ตกลงโอนกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างและตึกแถว เลขที่ 40/1 ถึง 40/57 และ 40/123 ถึง 40/127 หมู่ที่ 1 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม รวม 64 คูหา ให้แก่จำเลยแทนการชดใช้ราคา 4,700,000 บาท โดยโจทก์ตกลงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเก็บดอกผลค่าเช่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนับแต่วันทำบันทึกเป็นต้นไป ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในที่ดินต่อไป จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายหรือไม่ เห็นว่า คำพิพากษาของศาลจังหวัดนครปฐมแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวกำหนดเงื่อนไขให้โจทก์ปฏิบัติ ที่โจทก์เลือกที่จะโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวและอาคารพาณิชย์ให้แก่จำเลยแทนการชำระเงิน 4,700,000 บาท หรือนำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้จำเลยก็แสดงชัดเจนในตัวว่าโจทก์ยอมให้สิ่งปลูกสร้าง 64 คูหา ตั้งอยู่บนที่ดินของโจทก์เพื่อให้จำเลยนำออกให้เช่าและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในลักษณะสิทธิเหนือพื้นดิน เมื่อจำเลยตกลงด้วยตามบันทึกข้อตกลงจึงเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นโดยผลของการปฏิบัติตามคำพิพากษา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจบอกเลิกหรือปฏิบัติให้เป็นอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์เพื่อให้สิ่งปลูกสร้างของจำเลยซึ่งได้มาโดยผลแห่งคำพิพากษาตั้งอยู่บนที่ดินของโจทก์เพื่อเก็บดอกผลค่าเช่าต่อไป ที่จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์ก็เป็นการอาศัยสิทธิตามคำพิพากษาจึงไม่เป็นละเมิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหาย ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ล้วนแต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share