แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลพิพากษาตามยอมให้โจทก์และจำเลยต่างปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จำเลยต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จำเลยย่อมชอบที่จะร้องขอให้ดำเนินการบังคับไปตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับอีกฝ่ายให้ปฏิบัติ ในเมื่อคดีนี้ยังไม่มีการบังคับคดี จำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีเพื่อที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นหาได้ไม่ และคดีไม่จำเป็นต้องไต่สวนว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ชนะคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องร้องว่า ห้องแถวไม้ชั้นเดียว ๒ ห้อง เลขที่ ๑๖ ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย เดิมจำเลยกู้เงินผู้ร้องไป ๖๐,๐๐๐ บาท ถึงกำหนดจำเลยไม่มีเงินชำระหนี้ จึงได้โอนกรรมสิทธิ์ห้องแถวดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง เป็นการหักหนี้หรือชำระหนี้
โจทก์ให้การว่า ห้องแถวเลขที่ ๑๖ ที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย ที่ผู้ร้องอ้างว่า จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ห้องพิพาทให้ผู้ร้องชำระหนี้เงินกู้นั้น การโอนไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกการหักหนี้และโอนกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทตามเอกสารหมาย ร.๒ ที่ผู้ร้องอ้าง เป็นสัญญาชำระหนี้โดยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก บันทึกการโอนห้องแถวพิพาทตีใช้หนี้เงินกู้ จึงเข้าลักษณะนิติกรรมโอนอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องอยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๑๒๙๙ ดังกล่าว คือจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยและผู้ร้องทำบันทึกการโอนกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทรายนี้เป็นหนังสือ แต่มิได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การโอนกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทจึงถือว่าไม่บริบูรณ์ ผลก็คือว่ากรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทยังเป็นของจำเลยและไม่ได้โอนไปสู่ผู้ร้อง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงนำยึดห้องแถวพิพาทได้
พิพากษายืน