คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรรมการตรวจฎีกาโจทย์ อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ

ย่อยาว

ในคดีเรื่องนี้โจทย์ได้ฟ้องต่อศาลต่างประเทศมณฑลจันทบุรีหาว่า นายปูม บุญศรี นายสี อิศราโท กับพวกอีก ๑๐ คน สมคบกันเปนตัวการฤาพรรคพวกสมรู้กระทำการบุกรุกแลประทุษฐร้ายต่อทรัพย์ของโจทย์ โดยเข้าไปในที่โจทย์ซึ่งตั้งอยู่ที่หนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรีเมื่อวันที่ ๑ แล ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ แลได้ตัดฤาจุดไฟเผาต้นยางของโจทย์ ทำให้โจทย์เสียหายไปเปนราคาเงิน ๒๕๘๐๐ บาท ฯ
ศาลต่างประเทศมณฑลจันทบุรีพิจารณาคดีแล้ว เห็นว่านายปิ๋นโจทย์สืบไม่สมว่า โจทย์เปนเจ้าของสวนที่โจทย์อ้างว่าจำเลยบุกรุก เพราะฉนั้นโจทย์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยได้ จึงพร้อมกันพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์เสีย ฯ
โจทย์จึงได้ฟ้องเปนคดีแพ่งอีกสำนวนหนึ่งต่อศษลเดียวกันขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิภาษรายนี้ โดยอ้างว่าเปนที่ของโจทย์ โจทย์ได้ซื้อมาจากพระยาวิชยา ฯ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๖ เมื่อคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาอัยการมณฑลได้ยื่นคำร้องเข้ามาในสำนวน ในฐานะเปนผู้แทนกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ อ้างเหตุว่าพระยาวิชยา ฯ เปนณี่พระราชทรัพย์หลวง แลรัฐบาลต้องการที่ดินรายนี้ตีใช้ณี่ พระยาวิชยาฯ ไม่มีอำนาจเอาที่ดินรายนี้ไปโอนให้ผู้อื่นได้ นอกจากจะกระทำไปโดยเปนการฉ้อเจ้าณี่ ฯ
ศาลต่างประเทศเห็นว่าการโอนที่ดินรายนี้ใช้ไม่ได้ เพราะไม่ได้โอนกันต่อหน้าเจ้าพนักงานฐเบียรที่ดินตามกฎหมาย เพราะฉนั้นโจทย์ไม่มีอำนาจขับไล่จำเลยได้ ให้ยกฟ้องโจทย์เสีย ฯ
นายปิ๋นโจทย์อุทธรณทั้ง ๒ สำนวน ฯ
ศาลอุทธรณกรุงเทพ ฯ ได้สั่งให้ศาลล่างสืบพยานเพิ่มเติมแล้วทำคำพิพากษาทั้งคดีแพ่งแลอาญารวมเปนฉบัพเดียวกัน ลงวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ เพราะคดี ๒ เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกัน พิพากษาทับสัตย์ศาลล่าง ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาทั้ง ๒ สำนวน ฯ
คดีนี้นายปิ๋นโจทย์เปนคนร่มธงฝรั่งเศส ต้องพิจารณาตามหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๙ แลศาลนี้จะรับไว้พิจารณาได้เฉพาะเมื่อคดีเปนปัญหาพิภาษกันด้วยข้อกฎหมายเท่านั้น ฯ
กรรมการศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เปนคดีฟ้องเรื่องบุกรุกแลขับไล่ ไม่เปนปัญหาที่จะต้องชี้ขาดว่าผู้ใดเปนเจ้าของที่ดินรายพิภาษ อีกประการหนึ่งพนักงานผู้รักษาพระอัยการก็มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีชั้นศาลอุทธรณฤาศาลนี้ด้วย ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีแต่ว่า โจทย์มีพยานมาสืบให้ได้ความพอฟังฤาไม่ว่าโจทย์มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของศาล ไม่ให้คนที่ ๓ มาบุกรุกทำให้โจทย์เดือดร้อนฤาถือเอาที่ดินรายนี้ไปจากโจทย์ได้ตามพยานที่ปรากฎศาลนี้เห็นว่ายังไม่พอทำให้โจทย์มีสิทธิที่จะขับไล่ฤาฟ้องจำเลยฐานบุกรุกได้ แลศาลนี้เห็นสอดคล้องต้องด้วยศาลล่างว่า ไม่ปรากฎจากคำพยานว่าโจทย์มีอำนาจที่จะขับไล่ฤาทำอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นผู้เปนเจ้าของที่ดินนั้นได้ ความตั้งใจของผู้ซื้อที่จะไปร้องขอรับโฉนดตามที่โจทย์ได้แถลงความขึ้นมาในฎีกานั้นไม่เปนข้อพิจารณาเพื่อกระทำให้ความตกลงระหว่างผู้ซื้อแลผู้ขายซึ่งทำการไม่ถูกต้องตามระเบียบของกฎหมายนั้นให้เปนสัญญาดีขึ้นได้อนึ่งศาลฎีกาเห็นว่าการปกครองที่โจทย์กล่าวอ้างก็ไม่ต้องด้วยลักษณแห่งการปกครองด้วยตนเองฤาโดยปริยาย ซึ่งตนจำเปนต้องกระทำอย่างน้อยก็ให้บริบูรณเสียก่อนที่ตนจะขออำนาจคุ้มครองแห่งกฎหมายได้ ฯ
อาศรัยเหตุดังนี้ เมื่อคดีนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยแต่เฉภาะข้อนี้ข้อเดียว ฟ้องของโจทย์ก็ฟังไม่ขึ้น จึงพร้อมกันพิพากษาทับสัตย์ศาลอุทธรณกรุงเทพ ฯ ให้ยกฎีกาของโจทย์เสียให้โจทย์เสียค่าฤชาธรรมเนียมแลค่าทนายแทนจำเลยด้วยอีก ๖๐๐ บาท ฯ
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share