แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรรมการตรวจฎีกาโจทย์ อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ
ย่อยาว
ในคดีเรื่องนี้โจทย์ได้ฟ้องต่อศาลต่างประเทศมณฑลจันทบุรีหาว่า  นายปูม บุญศรี  นายสี อิศราโท กับพวกอีก ๑๐ คน สมคบกันเปนตัวการฤาพรรคพวกสมรู้กระทำการบุกรุกแลประทุษฐร้ายต่อทรัพย์ของโจทย์  โดยเข้าไปในที่โจทย์ซึ่งตั้งอยู่ที่หนองขอน  อำเภอเมือง  จังหวัดจันทบุรีเมื่อวันที่ ๑ แล ๒  มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๘ แลได้ตัดฤาจุดไฟเผาต้นยางของโจทย์  ทำให้โจทย์เสียหายไปเปนราคาเงิน ๒๕๘๐๐ บาท ฯ
ศาลต่างประเทศมณฑลจันทบุรีพิจารณาคดีแล้ว  เห็นว่านายปิ๋นโจทย์สืบไม่สมว่า  โจทย์เปนเจ้าของสวนที่โจทย์อ้างว่าจำเลยบุกรุก  เพราะฉนั้นโจทย์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยได้  จึงพร้อมกันพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์เสีย ฯ
โจทย์จึงได้ฟ้องเปนคดีแพ่งอีกสำนวนหนึ่งต่อศษลเดียวกันขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิภาษรายนี้  โดยอ้างว่าเปนที่ของโจทย์  โจทย์ได้ซื้อมาจากพระยาวิชยา ฯ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๖  เมื่อคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาอัยการมณฑลได้ยื่นคำร้องเข้ามาในสำนวน  ในฐานะเปนผู้แทนกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ  อ้างเหตุว่าพระยาวิชยา ฯ เปนณี่พระราชทรัพย์หลวง แลรัฐบาลต้องการที่ดินรายนี้ตีใช้ณี่  พระยาวิชยาฯ ไม่มีอำนาจเอาที่ดินรายนี้ไปโอนให้ผู้อื่นได้  นอกจากจะกระทำไปโดยเปนการฉ้อเจ้าณี่ ฯ
ศาลต่างประเทศเห็นว่าการโอนที่ดินรายนี้ใช้ไม่ได้  เพราะไม่ได้โอนกันต่อหน้าเจ้าพนักงานฐเบียรที่ดินตามกฎหมาย  เพราะฉนั้นโจทย์ไม่มีอำนาจขับไล่จำเลยได้  ให้ยกฟ้องโจทย์เสีย ฯ
นายปิ๋นโจทย์อุทธรณทั้ง ๒ สำนวน ฯ
ศาลอุทธรณกรุงเทพ  ฯ  ได้สั่งให้ศาลล่างสืบพยานเพิ่มเติมแล้วทำคำพิพากษาทั้งคดีแพ่งแลอาญารวมเปนฉบัพเดียวกัน  ลงวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑  เพราะคดี ๒ เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกัน  พิพากษาทับสัตย์ศาลล่าง  ฯ
โจทย์ทูลเกล้า  ฯ  ถวายฎีกาทั้ง ๒ สำนวน ฯ
คดีนี้นายปิ๋นโจทย์เปนคนร่มธงฝรั่งเศส  ต้องพิจารณาตามหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓  มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๙ แลศาลนี้จะรับไว้พิจารณาได้เฉพาะเมื่อคดีเปนปัญหาพิภาษกันด้วยข้อกฎหมายเท่านั้น ฯ
กรรมการศาลฎีกาเห็นว่า  คดีนี้เปนคดีฟ้องเรื่องบุกรุกแลขับไล่  ไม่เปนปัญหาที่จะต้องชี้ขาดว่าผู้ใดเปนเจ้าของที่ดินรายพิภาษ  อีกประการหนึ่งพนักงานผู้รักษาพระอัยการก็มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีชั้นศาลอุทธรณฤาศาลนี้ด้วย  ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีแต่ว่า  โจทย์มีพยานมาสืบให้ได้ความพอฟังฤาไม่ว่าโจทย์มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของศาล  ไม่ให้คนที่ ๓ มาบุกรุกทำให้โจทย์เดือดร้อนฤาถือเอาที่ดินรายนี้ไปจากโจทย์ได้ตามพยานที่ปรากฎศาลนี้เห็นว่ายังไม่พอทำให้โจทย์มีสิทธิที่จะขับไล่ฤาฟ้องจำเลยฐานบุกรุกได้  แลศาลนี้เห็นสอดคล้องต้องด้วยศาลล่างว่า  ไม่ปรากฎจากคำพยานว่าโจทย์มีอำนาจที่จะขับไล่ฤาทำอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นผู้เปนเจ้าของที่ดินนั้นได้  ความตั้งใจของผู้ซื้อที่จะไปร้องขอรับโฉนดตามที่โจทย์ได้แถลงความขึ้นมาในฎีกานั้นไม่เปนข้อพิจารณาเพื่อกระทำให้ความตกลงระหว่างผู้ซื้อแลผู้ขายซึ่งทำการไม่ถูกต้องตามระเบียบของกฎหมายนั้นให้เปนสัญญาดีขึ้นได้อนึ่งศาลฎีกาเห็นว่าการปกครองที่โจทย์กล่าวอ้างก็ไม่ต้องด้วยลักษณแห่งการปกครองด้วยตนเองฤาโดยปริยาย  ซึ่งตนจำเปนต้องกระทำอย่างน้อยก็ให้บริบูรณเสียก่อนที่ตนจะขออำนาจคุ้มครองแห่งกฎหมายได้ ฯ
อาศรัยเหตุดังนี้  เมื่อคดีนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยแต่เฉภาะข้อนี้ข้อเดียว  ฟ้องของโจทย์ก็ฟังไม่ขึ้น  จึงพร้อมกันพิพากษาทับสัตย์ศาลอุทธรณกรุงเทพ ฯ  ให้ยกฎีกาของโจทย์เสียให้โจทย์เสียค่าฤชาธรรมเนียมแลค่าทนายแทนจำเลยด้วยอีก ๖๐๐ บาท ฯ
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓
