คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1948/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาได้ความว่า จำเลยใช้ค้อนทุบกระจก ด้านข้าง ตู้ เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคารผู้เสียหายแตกเสียหาย อันเป็นความผิดฐานทำให้ เสียทรัพย์ และจำเลยไม่มี เจตนาลักทรัพย์ แต่การที่จำเลยนำสืบรับว่าได้ใช้ค้อนทุบ กระจกผู้เสียหายแตกได้รับความเสียหายเพื่อระบาย ความเครียด จำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลย ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามที่ทางพิจารณาได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยใช้ค้อนยาวประมาณ 30 เซนติเมตร จำนวน 1 ด้ามทุบผนังกระจกธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1 ผู้เสียหายจนแตกเสียหาย อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ แล้วลักเอาธนบัตรชนิดต่าง ๆ จำนวน2,000,000 บาท ของผู้เสียหายที่เก็บไว้ในเครื่องเบิกเงินอัตโนมัติไปโดยทุจริต จำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเนื่องจากเจ้าพนักงานพบการกระทำความผิดและจับจำเลยได้พร้อมค้อน 1 ด้าม ถุงมือ 1 คู่ และกระเป๋า 1 ใบ ไว้เป็นของกลางจำเลยจึงไม่สามารถลักเอาธนบัตรของผู้เสียหายไปได้ เหตุเกิดที่แขวงบางแค เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 80, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(3) วรรคสาม ประกอบมาตรา 80 จำคุก 4 ปีลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ของกลางคืนเจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้ใช้ค้อนทุบกระจกด้านข้างเครื่องเบิกเงินอัตโนมัติหรือตู้ เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคารกสิกรไทยจำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1 แตกเสียหาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจตรีโกวิท ภูหนองโอง มาเบิกความเป็นพยานว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกาขณะที่พยานออกตรวจท้องที่ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุกรุงธน ว่ามีคนร้ายเข้าไปในธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1 จึงเดินทางไปยังที่เกิดเหตุใช้เวลาประมาณ 5 นาที พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 คน และพบจำเลยกำลังวิ่งห่างจากธนาคารประมาณ 50 เมตร จึงติดตามจับกุมจำเลยได้ จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบว่ามีกระจกที่ผนังของธนาคารแตกขนาดแมว ลอดเข้าไปได้เพียงแห่งเดียว ไม่มีรอยงัดแงะอย่างอื่นตู้ เอ.ที.เอ็ม.ไม่ได้รับความเสียหาย นายอำนาจ เลิศพูลทรัพย์ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารที่เกิดเหตุเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเมื่อได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายมาทำลายทรัพย์สินและจะเข้าไปลักทรัพย์ของธนาคารจึงได้ไปยังที่เกิดเหตุ พบว่ากระจกด้านข้างตู้ เอ.ที.เอ็ม. ซึ่งมีเงินในตู้ประมาณ 2,000,000 บาท ถูกทุบแตกปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.6 รอยกระจกที่แตกไม่เกี่ยวกับตู้ เอ.ที.เอ็ม. ตู้เอ.ที.เอ็ม. ไม่มีร่องรอยความเสียหาย เห็นว่า แม้จำเลยจะใช้ค้อนทุบกระจกที่ติดกับตู้ เอ.ที.เอ็ม. ด้านล่างแตกขนาดแมวลอดเข้าไปได้ แต่ตัวจำเลยก็ไม่สามารถลอดเข้าไปภายในธนาคารได้และตรงจุดที่กระจกแตกซึ่งปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.6 ก็ไม่เกี่ยวกับ ตู้เอ.ที.เอ็ม.ซึ่งมีเงินเก็บอยู่ภายในจำเลยไม่มีทางที่จะล้วงเอาเงินที่เก็บอยู่ในตู้ เอ.ที.เอ็ม.ไปได้เลยของกลางที่ยึดได้ก็มีเพียงค้อน 1 ด้าม ถุงมือ 1 คู่ และกระเป๋า 1 ใบ ซึ่งไม่อาจใช้งัดตู้ เอ.ที.เอ็ม.เพื่อเอาเงินที่เก็บอยู่ภายในตู้ออกมาได้ ทั้งนับแต่สิบตำรวจตรีโกวิทได้รับแจ้งทางวิทยุจนไปถึงที่เกิดเหตุก็เป็นเวลานานประมาณ 5 นาที หากจำเลยมีเจตนาที่จะลักเอาเงินที่เก็บอยู่ในตู้ เอ.ที.เอ็ม. จำเลยก็น่าจะใช้ค้อนทุบตู้ เอ.ที.เอ็ม.ให้แตกเสียหาย แล้วใช้เครื่องมืองัดแงะ งัดและเอาเงินที่เก็บอยู่ในตู้ เอ.ที.เอ็ม.แล้วรีบหลบหนีไปโดยไม่รออยู่นานถึง 5 นาที จนกระทั่งถูกจับกุมเป็นแน่ กรณีอาจเป็นเรื่องที่จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ แต่จำเลยใช้ค้อนทุบกระจกเพื่อระบายความเครียด ดังที่จำเลยอ้างก็ได้ แม้โจทก์จะมีคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยมาเป็นพยานแต่จำเลยก็ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเอกสารที่มีข้อความแล้วมาให้จำเลยลงชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว แต่การที่จำเลยใช้ค้อนทุบกระจกด้านข้างตู้ เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1 แตกเสียหาย ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ผู้เสียหาย แต่จำเลยก็นำสืบรับว่าได้ใช้ค้อนทุบกระจกผู้เสียหายแตกได้รับความเสียหายเพื่อระบายความเครียด จำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ส่วนค้อนของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ จึงต้องริบ
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน จำเลยเป็นหญิงมีบุตร 1 คนยังเล็กอยู่ ได้กระทำผิดเนื่องจากเกิดความเครียด เกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยทำความผิดมาก่อนให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี ริบค้อนของกลางคำขออื่นให้ยก

Share