คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1948/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนมีการฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย จำเลยได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้ผู้คัดค้านที่ 2 โดยผู้คัดค้านที่2 ได้วางมัดจำไว้และผู้คัดค้านที่ 1 ผิดสัญญาไม่โอนที่ดินให้ผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 2 จึงฟ้องต่อศาลชั้นต้น และในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนที่ดินพิพาทแก่ผู้คัดค้านที่ 2ดังนี้ แม้ผู้คัดค้านทั้งสองจะทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ก่อนก็มิได้เป็นเครื่องยืนยันว่ากระทำโดยสุจริต เพราะพฤติการณ์ที่มีการดำเนินคดีโดยรีบร้อนและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยเร่งด่วน ย่อมแสดงถึงความไม่สุจริตเจตนาช่วยเหลือจำเลยในการยักย้ายทรัพย์สิน พยานหลักฐานของผู้คัดค้านยังฟังไม่ได้ว่าได้มีการโอนที่พิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ศาลจึงมีอำนาจเพิกถอนการโอนได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 114,116.

ย่อยาว

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายวันที่ 29 เมษายน 2526 ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด วันที่ 2 มิถุนายน 2526 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่27 เมษายน 2527 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2526 จำเลยโอนการถือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้ผู้คัดค้านที่ 1 โดยเสน่หาไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2526 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้ผู้คัดค้านที่ 2 และได้จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้ผู้คัดค้านที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งของศาลชั้นต้น โดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินดังกล่าวให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนได้ ให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินแก่กองทรัพย์สินของจำเลย พร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ถูกผู้คัดค้านที่ 2 ฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน จึงโอนขายที่ดินให้ผู้คัดค้านที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความผู้คัดค้านที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนการโอนได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนที่พิพาทระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 และระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่2 ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้ผู้คัดค้านทั้งสองจะทำสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ก่อนก็มิได้เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้คัดค้านทั้งสองได้กระทำการโดยสุจริตเพราะพฤติการณ์ที่มีการดำเนินคดีโดยรีบร้อนและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยเร่งด่วน ย่อมแสดงถึงความไม่สุจริตของผู้คัดค้านทั้งสอง ซึ่งมีเจตนาช่วยเหลือจำเลยในการยักย้ายทรัพย์สินนั่นเอง พยานหลักฐานของผู้คัดค้านดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับโอนที่พิพาทจากผู้คัดค้านที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ศาลจึงมีอำนาจเพิกถอนการโอนเสียได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 114 ประกอบด้วยมาตรา 116 ที่ศาลล่างทั้งสองได้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างผู้คัดค้านทั้งสองต้องกันมาชอบด้วยรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แก้ฎีกาเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share