แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยได้นำเฉพาะต้นเงินจำนวน 60,000 บาทที่จะต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปวางต่อ สำนักงานวางทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2529 แต่โจทก์ ได้ปฏิเสธการรับเงินดังกล่าวตลอดมาเพราะเห็นว่า เป็นการชำระหนี้ไม่ถูกต้อง แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มี คำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของเงิน 60,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2529อันเป็นเวลาภายหลังจากที่จำเลยวางทรัพย์จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วยก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว มิได้กล่าวอ้างถึงการวางเงินของจำเลยต่อสำนักงานวางทรัพย์เลย อีกทั้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวได้ถึงที่สุดไปแล้วโดยจำเลยมิได้ฎีกา ย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อ จำเลยยังมีหน้าที่ต้องชำระในส่วนดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อยู่อีก โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวได้ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลย เป็นการดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน117,859.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงิน 30,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดชำระเงิน 60,000 บาท แก่โจทก์ ให้ จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 800 บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 117,859.90 บาท ให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงิน 30,000 บาทและให้จำเลยที่ 3 ชำระดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนอง ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้ชำระหนี้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2540 ว่า หลังจากศาลมีคำพิพากษา จำเลยที่ 3 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์เพียง 60,000 บาท โดยนำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ส่วนที่เหลือยังไม่ชำระขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ว่า ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดแล้วนั้น จำเลยที่ 3 ยังมีหน้าที่ต้องชำระในส่วนดอกเบี้ยให้แก่โจทก์อีก จึงให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 3 ด้วย
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องลงวันที่ 8 สิงหาคม 2540 ว่าจำเลยที่ 3 ได้วางเงินไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์เป็นการชำระหนี้ให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2529 ก่อนวันที่ 23 ตุลาคม 2529 อันเป็นวันที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์คิดดอกเบี้ย โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 3 ได้อีก คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่าจำเลยที่ 3 ยังมีหน้าที่ต้องชำระในส่วนดอกเบี้ยให้แก่โจทก์จึงไม่ถูกต้อง เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่ง ยกคำร้องต่อมาวันที่ 4 กันยายน 2540 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่าเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2540 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 206/129 หมู่ที่ 1 ตำบลห้วงน้ำขาว อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3 เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีเพราะจำเลยที่ 3 ไม่มีหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงแก่จำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดโดยให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้จำนวน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2529เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ชำระหนี้โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์การบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองกรณี
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 3 ได้นำเงินไปวางต่อสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ภูมิภาคที่ 2 นั้นโจทก์ได้ปฏิเสธการรับเงินดังกล่าวตลอดมา เพราะโจทก์เห็นว่าเป็นการชำระหนี้ไม่ถูกต้องจนกระทั่งต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามและต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 3ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของเงิน 60,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2529 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้มาชำระหนี้แก่โจทก์ โดยมิได้กล่าวอ้างถึงการวางเงินของจำเลยที่ 3 ต่อสำนักงานวางทรัพย์เลย โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดแล้วได้นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 3จะได้นำเงินจำนวน 60,000 บาท ไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์ก่อนที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเงินดังกล่าวตลอดมา เพราะโจทก์เห็นว่าเป็นการชำระหนี้ไม่ถูกต้องเมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุดมิได้กล่าวถึงการวางเงินของจำเลยที่ 3 ต่อสำนักงานวางทรัพย์แต่ประการใด อีกทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีของเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2529 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 3 ไม่ยอมชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 3ออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้มาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวได้อ่านให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2532 และถึงที่สุดไปแล้วโดยจำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ถึงที่สุด โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ได้ การที่ศาลชั้นต้นตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการชอบแล้ว”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 3