แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม แม้ศาลชั้นต้นได้สืบพยานที่ระบุ เพิ่มเติมไปแล้ว ก็ย่อมต้องห้าม มิให้รับฟัง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำร้องระบุพยานเพิ่มเติม แม้จำเลยยื่นฝ่าฝืนกฎหมาย แต่ไม่ถึงกับเป็นการเอาเปรียบทางคดี และเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญในคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จึงให้รับระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยแล้วฟังว่าจำเลยทั้งห้ามิได้บุกรุกที่ดินโจทก์ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องระบุพยานเพิ่มเติมมิได้อ้างเหตุจำเป็นหรือสมควร เป็นการไม่ถูกต้อง ย่อมต้องห้ามมิให้รับฟัง พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยทั้งห้าและบริวารออกไปจากที่พิพาท ห้ามเกี่ยวข้องอีก จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาประการแรกว่า ควรรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยหรือไม่ ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2522 ครั้นวันที่ 13 ธันวาคม 2522 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมระบุอ้างนายทวี ศรลัมพ์ และนายแต๋ว พลพัฒน์ เป็นพยาน โจทก์คัดค้านว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลชั้นต้นให้สืบพยานดังกล่าวไปพลางก่อน จำเลยนำพยานจำเลยเข้าสืบเสร็จในวันเดียวกัน ดังนี้ เห็นว่า โจทก์ย่อมไม่ทราบและไม่มีโอกาสถามพยานของตนไว้เกี่ยวกับพยานจำเลยที่ระบุเพิ่มเติม เป็นการเสียเปรียบในทางคดี คำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยก็ไม่ได้อ้างเหตุสมควรว่า จำเลยไม่สามารถได้ว่าต้องนำนายทวี ศรลัมพ์ และนายแต๋ว พลพัฒน์ มาสืบ หรือไม่ทราบว่า พยานทั้งสองปากนี้มีอยู่ตามประมวลกฎหมาายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม ทั้งข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่ามีเหตุเช่นนั้น จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมตามขอ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานทั้งสองปากดังกล่าวมาแล้วย่อมต้องห้ามมิให้รับฟัง”
พิพากษายืน