คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับผู้เสียหายต่างรักใคร่กับหญิงคนรักคนๆ เดียวกันคนรักถูกผู้ปกครองต่อว่าเสียใจวิ่งขึ้นบนห้อง จำเลยตามขึ้นไป ผู้เสียหายตามขึ้นไปภายหลัง ถามจำเลยว่ามึงมาใหญ่โตที่นี่หรือ จำเลยยกมือไหว้ว่ามีอะไรสั่งสอนผมผมนับถือพี่พงษ์(ผู้เสียหาย)แล้วจำเลยกับผู้เสียหายใช้มือผลักกันไปมา คนรักหนีเข้าห้อง จำเลยวิ่งหนีไปอีกห้องติดๆกัน ผู้เสียหายตามเข้าไปกอดคนรักและพูดว่า”พี่อยู่ทั้งคนไม่ต้องกลัว” ทันใดจำเลยอยู่หน้าประตูห้องคนรักก็ยิงผู้เสียหาย ดังนี้การกระทำของผู้เสียหายหาใช่เป็นการข่มเหงไม่ และไม่ใช่เป็นการชวนวิวาทเพราะเมื่อจำเลยหนีเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ผู้เสียหายไม่ได้ติดตามเข้าไปหรือพูดอะไรกับจำเลยอีก ผู้เสียหายพูดว่าจำเลยในฐานเป็นผู้ใหญ่กว่า การผลักกันไปมานั้นก็ไม่หมายความว่าผู้เสียหายผลักจำเลยเป็นการชวนทำร้าย
อาวุธปืนเป็นของร้ายแรง แผลที่จำเลยยิงก็อยู่ใกล้อวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย จำเลยยิงในระยะใกล้ๆ 1 วาเศษ อย่างน้อย 2 นัด และยิงเพราะความหึงหวงที่ผู้เสียหายกอดหญิงที่ตนรักใคร่ จึงส่อให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าตาม มาตรา 249 ไม่ใช่ 256

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้ปืนพกลูกโม่สมิทแอนเวสสันยิง ร.ท.สุรพงษ์ 3 นัดโดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย แต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญ ร.ท.สุรพงษ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249, 256, 60 ฯลฯ

จำเลยต่อสู้ป้องกันตัว

ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ได้ยิงป้องกันตัวแต่เห็นว่าจำเลยกับร.ท.สุรพงษ์ไม่มีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน จำเลยไม่มีเจตนายิงให้ถึงแก่ความตาย เพราะขณะยิงจำเลยอยู่ห่างเพียงวาเศษ ถ้าตั้งใจยิงให้ตายจำเลยอาจยิงถูกที่สำคัญพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 256 วางโทษจำคุกจำเลย 4 ปี ฯลฯ

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำและผลแห่งการกระทำของจำเลยแสดงถึงเจตนาได้ และฟังว่าจำเลยเจตนาฆ่า พิพากษาลงโทษตาม มาตรา 249, 60 จำคุก 10 ปี ฯลฯ

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อที่จำเลยอ้างว่ายิงผู้เสียหายเพราะถูกข่มเหง โดยจำเลยได้เสียกับนางสาวตีระกาแล้ว ผู้เสียหายได้ประนามจำเลยต่อหน้า น.ส.ตีระกาว่า จำเลยใหญ่โตที่นี่หรือใช้มือผลักจำเลย

แต่ได้ความว่าผู้เสียหายได้ตามจำเลยขึ้นไปภายหลัง ถามจำเลยว่ามึงมาใหญ่โตที่นี่หรือ จำเลยยกมือไหว้ว่ามีอะไรสั่งสอนผม ๆ นับถือพี่พงษ์ (ผู้เสียหาย) แล้วจำเลยกับผู้เสียหายใช้มือผลักกันไปมา น.ส.ตีระกาหนีเข้าห้อง จำเลยวิ่งหนีไปอีกห้องหนึ่งติด ๆ กันผู้เสียหายเข้าตามไปกอด น.ส.ตีระกาและพูดว่า “พี่อยู่ทั้งคนไม่ต้องกลัว” ทันใดจำเลยอยู่หน้าประตูห้อง น.ส.ตีระกาก็ยิงผู้เสียหาย การกระทำของผู้เสียหายหาใช่เป็นการข่มเหงไม่และไม่ใช่เป็นการชวนวิวาทเพราะเมื่อจำเลยหนีเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ผู้เสียหายไม่ได้ติดตามเข้าไปหรือพูดอะไรกับจำเลยอีกผู้เสียหายพูดว่าจำเลยในฐานเป็นผู้ใหญ่กว่า การผลักกันไปผลักกันมาไม่หมายความว่า ผู้เสียหายผลักจำเลยเป็นการชวนทำร้าย

อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรง แผลที่จำเลยยิงก็อยู่ใกล้อวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย จำเลยยิงในระยะใกล้ ๆ 1 วาเศษ อย่างน้อย2 นัด และยิงเพราะความหึงหวงที่ผู้เสียหายกอดหญิงที่ตนรักใคร่ส่อให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า พิพากษายืน

Share