คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1944/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่นามือเปล่าของจำเลยฝากให้ ส.ดูแลแทนเมื่อส.นำไปขายให้แก่โจทก์โดยจำเลยมิได้รู้เห็นหรือยินยอม จึงเป็นการที่โจทก์ซื้อจากผู้ที่ไม่มีสิทธิที่จะขายแก่ตนได้ การครอบครองของโจทก์ในนาพิพาทหลังจากการซื้อขายซึ่งไม่มีผลผูกพันจำเลย ไม่ว่าจะนานสักเพียงใดก็เป็นการครอบครองแทนจำเลยผู้เป็นเจ้าของ โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2513 โจทก์ได้ซื้อนาบ้านโนนหุ่ง ตำบลโพธิ์ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ มาจากนายบุญและนางสุบิน ในราคา15,000 บาทแล้ว ได้เข้าครอบครองทำนาพิพาทด้วยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2516 จำเลยได้บุกรุกเข้าไปทำนาในที่ดินของโจทก์ตามแผนที่ท้ายฟ้องอ้างว่าเป็นนาของจำเลยเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่ได้ทำนาในปี 2516 เสียหายคิดเป็นเงิน 3,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ข้าวเปลือก 150 ถัง หรือเงิน 3,000 บาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2516 จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากนาพิพาท

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นพี่ของนางสุบิน เมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมจำเลยกับนางสุบินตกลงแบ่งนาพิพาทซึ่งเป็นนามรดกคนละครึ่ง โดยจำเลยได้ทางด้านตะวันออก นางสุบินได้ทางด้านตะวันตก จำเลยได้เข้าครอบครองทำนาพิพาทซึ่งเป็นส่วนของจำเลยอยู่ 4 – 5 ปี เมื่อประมาณ 10 ปีมานี้ จำเลยได้ฝากนาพิพาทไว้กับนางสุบินแล้วอพยพไปอยู่ที่ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ครั้นปี 2516 จำเลยจึงทราบว่านางสุบินได้ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอม จำเลยได้เข้าทำนาพิพาทในปี 2516 ได้ข้าวเปลือก 100 ถัง โจทก์ไม่เสียหายตามที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยถึงแก่กรรม นายเดชผู้เป็นบุตรขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นางสุบินได้ทำนาพิพาทซึ่งเป็นของนายเหลือจำเลยไปขายให้โจทก์โดยจำเลยไม่ได้รู้เห็นยินยอม และจำเลยเป็นผู้ครอบครองนาพิพาทตลอดมา จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 2,000 บาท นับแต่ปีการทำนาปี 2516 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่พิพาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติฟังได้ว่าจำเลยเป็นพี่ชายนางสุบิน จำเลยและนางสุบินตกลงแบ่งนามรดกกันคนละครึ่ง โดยนางสุบินได้ทางด้านทิศตะวันตก จำเลยได้ทางด้านทิศตะวันออก คือ นาแปลงพิพาทซึ่งจำเลยเข้าครอบครองทำอยู่ประมาณ 4 – 5 ปี จากนั้นได้อพยพครอบครัวไปอยู่ที่อื่นและได้ฝากนาพิพาทให้นางสุบินดูแลแทน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2513 นางสุบินได้ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 15,000 บาท แล้วโจทก์เข้าครอบครองทำนาพิพาทตลอดมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2516 จำเลยอพยพกลับมาทราบว่านางสุบินได้ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยถือว่านาพิพาทยังเป็นของตนเพราะจำเลยมิได้รู้เห็นหรือยินยอมในการซื้อขายนาพิพาทให้โจทก์ จึงถือสิทธิเข้าทำนาในปี พ.ศ. 2516 เช่นนี้ การที่นางสุบินเอานาพิพาทของจำเลยไปขายให้แก่โจทก์โดยจำเลยมิได้รู้เห็นหรือยินยอมในการซื้อขายนาพิพาทดังกล่าว เท่ากับว่าเป็นการซื้อจากผู้ที่ไม่มีสิทธิที่จะขายให้แก่ตนได้ และการครอบครองของโจทก์ในนาพิพาทดังกล่าวหลังจากการซื้อขายซึ่งไม่มีผลผูกพันจำเลยผู้เป็นเจ้าของนาพิพาทแล้วไม่ว่าจะนานสักเพียงใดก็ตามเท่ากับเป็นการครอบครองแทนจำเลยผู้เป็นเจ้าของโจทก์มิได้สิทธิครอบครอง

พิพากษากลับเป็นว่าให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share