คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1943/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่า รถประจำทางของบริษัทจำเลยคันที่ชนบุตรโจทก์มี ด.เป็นคนขับ ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งหลังจากวันชี้สองสถานแล้ว โจทก์ขอแก้ฟ้องว่า คนขับรถของบริษัทจำเลยชื่อ จ. อ้างเหตุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกชื่อสับกันไป เพราะมีรถชนกันสองสายในเวลาใกล้เคียงกันดังนี้ เมื่อตามคำให้การจำเลยมิได้ปฏิเสธว่า ด.มิใช่ลูกจ้างจำเลย คงอ้างแต่เพียงว่าคนขับรถของจำเลยมิได้เป็นฝ่ายประมาท การที่โจทก์ระบุชื่อคนขับรถของจำเลยผิดพลาดไปด้วยเหตุดังกล่าว แล้วมาแก้ไขให้ถูกต้องภายหลังเป็นเรื่องแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อย แม้จะเป็นภายหลังกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180ศาลก็มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องได้
บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายเพราะการกระทำละเมิด โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าขาดไร้อุปการะทั้งในปัจจุบันและในอนาคตโดยผลแห่งกฎหมาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 443 วรรค 3 ประกอบด้วยมาตรา 1535 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ต้องพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายได้อุปการะโจทก์จริงหรือไม่ และในอนาคตผู้ตาย จะอุปการะโจทก์หรือไม่(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1648/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของรถประจำทาง (เมล์เหลือง) ซึ่งมีนายจำลอง ศรีฟ้าเลื่อน เป็นลูกจ้างขับในทางการที่จ้าง โดยประมาทชนนางสาวง้อแซ่กัง บุตรสาวของโจทก์ถึงแก่ความตาย เรียกค่าเสียหาย 60,700 บาท

จำเลยให้การว่า คนขับรถของจำเลยไม่ได้ประมาท เหตุเกิดเพราะความประมาทของนางสาวง้อผู้ตายเองที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ตัดหน้ารถยนต์ของจำเลย สุดวิสัยที่คนขับของจำเลยจะหยุดรถได้ทัน โจทก์ไม่เสียหายเท่าที่ฟ้อง ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คนขับรถของจำเลยขับรถด้วยความประมาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 21,686 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ

โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยรับผิดเต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 60,686บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกเกี่ยวกับการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง คือเดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่ารถประจำทางของบริษัทจำเลยคันที่ชนนางสาวง้อ แซ่กัง บุตรสาวโจทก์นั้น มีนายดี จันทร์ทิพย์ เป็นคนขับ ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอแก้ฟ้องว่า คนขับรถของบริษัทจำเลยคันเกิดเหตุชื่อนายจำลอง ศรีฟ้าเลื่อน อ้างเหตุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกชื่อสับกันไปเพราะในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้น มีคดีรถยนต์ชนคนอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคนขับรถได้หลบหนีไปเช่นเดียวกัน จำเลยฎีกาว่า ศาลจะอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องไม่ได้ เพราะเป็นเวลาภายหลังศาลชี้สองสถานแล้ว และคดีไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยยื่นคำให้การ จำเลยก็มิได้ปฏิเสธว่านายดี จันทร์ทิพย์ คนขับรถประจำทางคันที่ชนนางสาวง้อบุตรโจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย คงเถียงแต่เพียงว่า คนขับรถประจำทางของจำเลยมิได้เป็นฝ่ายประมาท แต่นางสาวง้อบุตรโจทก์ขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทตัดหน้ารถของจำเลย ฉะนั้น ที่โจทก์ระบุชื่อคนขับรถของบริษัทจำเลยผิดพลาดไปด้วยเหตุดังกล่าวมาข้างต้น แล้วมาแก้ไขให้ถูกต้องภายหลัง เป็นเรื่องแก้ไขความผิดพลาดเล็กน้อย แม้จะเป็นภายหลังกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ศาลก็มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ไขให้ถูกต้องได้

เรื่องค่าขาดไร้อุปการะ จำเลยฎีกาว่าโจทก์มีบุตรอื่นอีก 6 คนที่ให้การอุปการะเลี้ยงดูอยู่ นางสาวง้อมิได้เลี้ยงดูโจทก์อย่างใด เห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นมารดาของนางสาวง้อชอบที่จะได้รับค่าขาดไร้อุปการะทั้งในปัจจุบันและในอนาคตโดยผลแห่งกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 443 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 1535 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ต้องพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุนางสาวง้อได้อุปการะโจทก์จริงหรือไม่ และในอนาคตนางสาวง้อจะอุปการะโจทก์จริงหรือไม่

พิพากษายืน

Share