คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1940/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำนักงาน ก.พ. โจทก์ที่ 1 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดการควบคุมการศึกษาของนักเรียนฝ่ายพลเรือนที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ผู้รับทุน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน เรื่องการรับทุนรัฐบาลไปศึกษา ต่อในต่างประเทศตามความต้องการของกรมไปรษณีย์โทรเลขโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาการรับทุนนั้น เห็นได้ว่าเป็นเรื่องกระทำตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 มิใช่กระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งสอง เป็นคู่สัญญาต่อกัน เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์ที่ 1 ย่อมมีอำนาจฟ้อง
ตามข้อบังคับของ ก.พ.กำหนดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนทุน ในความดูแลของรัฐบาล ต้องรักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามลักทรัพย์จนถูกศาลอาญาแห่งประเทศฝรั่งเศส พิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ย่อมถือว่าเป็นเรื่องผิดวินัยของ ก.พ.อันเป็น การผิดสัญญาที่ได้กระทำไว้แล้ว ต้องรับผิดชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับ
เงินทุนและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่าง เวลาผิดนัดได้ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีชื่อย่อว่าสำนักงาน ก.พ. มีอำนาจหน้าที่จัดการควบคุมการศึกษาของนักเรียนฝ่ายพลเรือนที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศโจทก์ที่ 2 เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่จัดการสื่อสารทางไปรษณีย์ของรัฐ โจทก์ที่ 2 มอบหมายให้โจทก์ที่ 1 สอบแข่งขันเพื่อรับทุนรัฐบาลไปศึกษาต่างประเทศด้วยเงินทุนของโจทก์ที่ 2 ตลอดจนดูแลควบคุมการใช้จ่ายของผู้รับทุน ในการนี้จำเลยที่ 1 ได้รับทุนของโจทก์ที่ 2 ไปศึกษาวิชาการไปรษณีย์ที่ประเทศฝรั่งเศสจำเลยที่ 1 ทำสัญญาไว้กับโจทก์ที่ 1 รับจะประพฤติและปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของ ก.พ. ที่เกี่ยวกับการควบคุมการศึกษา หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาเป็นเหตุให้ ก.พ. สั่งให้เดินทางกลับประเทศไทย จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ทุนที่โจทก์ที่ 1 จ่ายไปแล้วทั้งสิ้นกับเงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับจำนวนทุนดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับทันที จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศจำเลยที่ 1 กระทำผิดอาญาฐานพยายามลักทรัพย์ศาลอาญาแห่งเมืองทาร์บประเทศฝรั่งเศสพิพากษาลงโทษจำคุก 45 วัน จำเลยที่ 1 กระทำผิดวินัยตามข้อบังคับของ ก.พ. ในข้อที่ต้องรักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อเป็นผู้ประพฤติชั่ว อันเป็นการผิดสัญญา จำเลยที่ 1 เดินทางกลับประเทศไทยแล้วตามคำสั่งของโจทก์ที่ 1 จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันชำระเงินทุนและเบี้ยปรับรวม460,852 บาท 85 สตางค์ และดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า ระหว่างอยู่ต่างประเทศจำเลยที่ 1 มิได้กระทำผิดที่ถูกศาลในประเทศฝรั่งเศสพิพากษาลงโทษเพราะถูกตำรวจกลั่นแกล้งขู่บังคับหลอกลวงให้รับสารภาพ ทั้งเป็นความผิดเล็กน้อยเทียบเท่าความผิดลหุโทษตามกฎหมายไทย และมิใช่คำพิพากษาของศาลในประเทศไทย จำเลยที่ 1 มิได้ประพฤติชั่วจำเลยที่ 1 เข้ารับราชการในกรมโจทก์ที่ 2 แล้วโจทก์ทั้งสองสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากราชการ จะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าปรับและดอกเบี้ยพร้อมกัน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 มีอำนาจหน้าที่จัดการควบคุมการศึกษาของนักเรียนฝ่ายพลเรือนที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ตามสัญญาการรับทุนที่โจทก์ที่ 1 ทำกับจำเลยทั้งสองนั้นเห็นได้ว่าเป็นเรื่องกระทำตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 มิใช่กระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1กับจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาต่อกัน เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์ที่ 1 ย่อมมีอำนาจฟ้อง

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามลักทรัพย์จนถูกศาลอาญาแห่งเมืองทาร์บประเทศฝรั่งเศสพิพากษาจำคุกและปรับ แล้ววินิจฉัยว่าตามข้อบังคับของ ก.พ. เอกสารหมาย จ.3 ข้อ 22 ง. กำหนดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักเรียนทุนในความดูแลของรัฐบาล ต้องรักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำความผิดดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นเรื่องผิดวินัยของ ก.พ. อันเป็นการผิดสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 2 และข้อ 7 ต้องรับผิดชดใช้ทุนที่โจทก์ที่ 1 จ่ายไปแล้วทั้งสิ้นกับเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่า เว้นแต่จำเลยที่ 1 ได้เข้ารับราชการตามที่ ก.พ. กำหนดจึงจะไม่ต้องรับผิดโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระเงินทุนและเบี้ยปรับ จำเลยทั้งสองทราบแล้วเพิกเฉย เงินทุนและเบี้ยปรับเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดได้ตามกฎหมาย

พิพากษายืน

Share