แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง กฎหมายบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดรับโทษหนักขึ้น ถ้าในการปล้นทรัพย์ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วยเพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิด เมื่อฟังไม่ได้ว่าในการปล้นทรัพย์จำเลยทั้งสองกับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วยการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง แต่มีความผิดตามมาตรา 340 วรรคแรก
คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาของศาลมณฑลทหารบกที่ 14 จึงนับโทษในคดีอาญาดังกล่าวต่อจากคดีนี้ไม่ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเดิมคดีในสำนวนแรกโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ไม่รับฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำนวนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 33, 80 ริบไม้ท่อนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 174/2543 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 14
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 80 จำคุกคนละ 15 ปี ริบไม้ท่อนของกลาง นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 174/2543 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 14
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบไม้ท่อนของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 1 นาฬิกา มีชายคนหนึ่งว่าจ้างให้ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปส่งบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงชายดังกล่าวเดินไปหาจำเลยทั้งสองซึ่งจอดรถจักรยานยนต์รออยู่ห่างประมาณ 2 เมตร ส่วนผู้เสียหายนั่งคร่อมอยู่บนรถและเปิดไฟหน้ารถไว้ทั้งสามคนคุยกันประมาณ 1 นาที แล้วเดินมาหาผู้เสียหาย ชายคนว่าจ้างถามราคาค่าจ้าง พอผู้เสียหายตอบว่า 15 บาท ทั้งสามคนได้เข้ามาทำร้ายผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนตีผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายจึงกดแตร เร่งเครื่องรถและร้องเรียกให้คนช่วย จำเลยทั้งสองกับพวกจึงวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไป ผู้เสียหายไปแจ้งความต่อดาบตำรวจเสรีที่ป้อมยามบริเวณสี่แยกไฟแดงบางพระ และนำดาบตำรวจเสรีติดตามจับจำเลยทั้งสองได้ในซอยสุสานจีนกังเฮ่ เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายร่วมกับพวกพยายามจะปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไป ได้ความว่าบริเวณที่เกิดเหตุ มีแสงสว่างจากไฟสปอทไลท์ และไฟหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย และก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับพวกได้เข้ามาสอบถามราคาค่าจ้างรถต่อผู้เสียหาย ผู้เสียหายย่อมมีโอกาสเห็นจำเลยทั้งสองในระยะใกล้ชิดทั้งหลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งเหตุและพาเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในวันเกิดเหตุ โดยผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายทันทีเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในระยะเวลาใกล้ชิดเชื่อว่า ผู้เสียหายจำจำเลยทั้งสองว่าเป็นคนร้ายได้ และโจทก์มีดาบตำรวจเสรีเป็นพยานเบิกความสนับสนุนถึงเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายมาแจ้งเหตุ และพาไปติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองได้สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหาย แม้ดาบตำรวจเสรีจะเบิกความว่า ผู้เสียหายแจ้งว่าพวกของจำเลยทั้งสองที่ว่าจ้างรถของผู้เสียหายเป็นคนใช้ไม้ตีศีรษะผู้เสียหายแตกต่างกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนใช้ไม้ตีผู้เสียหาย เห็นว่า ดาบตำรวจเสรีไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุเพียงแต่ได้รับคำบอกเล่าจากผู้เสียหายอาจเบิกความสับสนเนื่องจากจดจำรายละเอียดไม่ครบถ้วนก็เป็นได้ ไม่ถึงกับเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ที่จะทำให้น้ำหนักคำเบิกความของผู้เสียหายเสียไป พยานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ แม้จะได้ความว่าการพยายามปล้นทรัพย์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกได้ใช้ไม้ของกลางเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหาย แต่ความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง กฎหมายบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดรับโทษหนักขึ้น ถ้าในการปล้นทรัพย์ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย แสดงว่าจะเป็นความผิดตามวรรคนี้ผู้กระทำความผิดต้องมีอาวุธติดตัวไปด้วยเพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิด แต่ทางนำสืบของพยานโจทก์ไม่ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับพวกมีไม้ท่อนติดตัวไปด้วย ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าขณะที่จำเลยทั้งสองกับพวกเดินเข้ามาจะทำร้ายผู้เสียหายไม่เห็นว่ามีใครถือไม้ท่อนของกลางเข้ามาด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าในการปล้นทรัพย์จำเลยทั้งสองกับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง แต่มีความผิดตามมาตรา 340 วรรคแรก ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ตามสำนวนคดีหลังที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ได้มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 174/2543 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 14 แม้สำนวนคดีแรกโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ร่วมมากับจำเลยที่ 1 และมีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวด้วยแต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ย่อมมีผลทำให้คำขอให้นับโทษต่อของจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวตกไปด้วย ฟังได้ว่า คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 174/2543 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 14 จึงนับโทษในคดีอาญาดังกล่าวต่อจากคดีนี้ไม่ได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบมาตรา 340 ตรี, 80 จำคุกคนละ 10 ปี โดยไม่นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 174/2543 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 14 ริบไม้ท่อนของกลาง