แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในระหว่างพิจารณา โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันมีคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์โจทก์โดยให้เหตุผลว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ฎีกาและศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนพอแก่การวินิจฉัยศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเสียทีเดียวว่าจะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้หรือไม่
โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกว่า จำเลยนำที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 97 เนื้อที่ 29 ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 23 ของเจ้ามรดกไปออกเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 603 เป็นของจำเลยเป็นส่วนตัว และขอแก้ไขคำฟ้องจากที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 97 ฯ เป็นที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 55 หมู่ที่ 6 เนื้อที่ 36 ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 3 ซึ่งเป็นของ ก. เป็นการขอแก้เป็นที่ดินต่างแปลงกันและเป็นที่ดินของบุคคลอื่นจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขอให้เจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินของนายสวัสดิ์ ปรุงเสริม เจ้ามรดกตาม น.ส.๓ เลขที่ ๙๗ เนื้อที่ ๒๙ ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองปลาไหล อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่ ๒๓ ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๑/๒๕๑๖ ของศาลชั้นต้นไปเป็นของจำเลยเป็นส่วนตัว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และนางแสวง ปรุงเสริม ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก เจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยแล้วตาม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๖๐๓ ตำบลหนองปลาไหล อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ขอให้เพิกถอน น.ส.๓ ก. เลขที่ ๖๐๓
จำเลยให้การว่าที่ดินตาม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๖๐๓ ไม่ใช่ที่ดินตามบัญชีทรัพย์อันดับที่ ๒๓ เจ้ามรดกยกที่ดินแปลงนี้ให้จำเลยก่อนถึงแก่กรรมจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปี
ภายหลังศาลชั้นต้นชี้สองสถาน โจทก์ขอแก้คำฟ้องจากข้อความว่า’ที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๙๗ เนื้อที่ ๒๙ ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่ ๒๓’ เป็น ‘ที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๕๕ หมู่ที่ ๖ เนื้อที่ ๓๖ ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่ ๓ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นของนางกิมลี้ เรือนนาค’
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเป็นที่ดินคนละแปลงกับฟ้องเดิมจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่อนุญาตให้แก้ไข
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเป็นคำฟ้องและคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑ (๓) (๕) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา ๑๗๒ วรรคท้ายและมาตรา ๑๘ แม้ศาลจะได้มีคำสั่งในระหว่างพิจารณา โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ในกำหนด ๑ เดือนนับแต่วันมีคำสั่งตามมาตรา ๒๒๘ เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในกำหนดศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ว่าสมควรอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้หรือไม่
เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาอาจย้อนสำนวนไปให้วินิจฉัยก็ได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในท้องสำนวนพอแก่การวินิจฉัยแล้วศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวเสียทีเดียวตามมาตรา ๒๔๓, ๒๔๗
เดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำเอาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.๓ เลขที่ ๙๗ เนื้อที่ ๒๙ ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่๒๓ ของสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๑/๒๕๑๖ ของศาลจังหวัดพิจิตร ไปออก น.ส.๓ เป็นของจำเลย ตาม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๖๐๓ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นคนละแปลงกับที่ดินกองมรดกของนายสวัสดิ์ ปรุงเสริม แต่เป็นของจำเลยที่นายสวัสดิ์เจ้ามรดกยกให้จำเลยก่อนที่จะถึงแก่กรรมมานานเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ในชั้นชี้สองสถานคดีมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่า ที่ดิน น.ส.๓ ก.เลขที่ ๖๐๓ ที่จำเลยนำไปออก น.ส.๓ ก. นั้นเป็นทรัพย์ในกองมรดกหรือไม่ การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องเกี่ยวกับที่พิพาทที่จำเลยนำไปออก น.ส.๓ ก. จากที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๙๗เนื้อที่ ๒๙ ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๒๓ เป็นที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๕๕ หมู่ที่ ๖ เนื้อที่ ๓๖ ไร่ ตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๓ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นของนางกิมลี้ เรือนนาค นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นที่ดินต่างแปลงกัน และเป็นที่ดินของบุคคลอื่นจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมทั้งโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนี้หลังวันชี้สองสถาน และคดีไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงจะอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องมิได้
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องตามคำสั่งศาลชั้นต้น.