แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องในเรื่องละเมิด แม้จะกล่าวในตอนต้นว่าจำเลยกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ฟ้องได้บรรยายต่อไปถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยโดยละเอียด เป็นการแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว.จึงเป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
ค่าเสื่อมสุขภาพอนามัยที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ฐานละเมิด ทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้นเป็นค่าทดแทนความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ซึ่งศาลย่อมกำหนดให้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1,2 เป็นสามีภริยากัน และเป็นเจ้าของรถยนต์รับจ้างโดยสารหมายเลขทะเบียน น.ศ.02631 วันเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1, 2 ได้ขับรถคันนี้ในทางการที่จ้างโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แซงรถจักรยานยนต์แล้วไปชนรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน น.ศ. 20356 ซึ่งโจทก์โดยสารอยู่อย่างแรง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น31,348 บาท ขอให้จำเลยชดใช้ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1, 2 ให้การปฏิเสธความรับผิด และตัดฟ้องว่า ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างไร เป็นฟ้องเคลือบคลุม
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และฟังว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1, 2 ได้ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์โดยสารมา โจทก์ได้รับความเสียหายพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย เป็นเงิน 12,143 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1, 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1, 2 ฎีกา
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โดยบรรยายว่าจงใจและประมาทเลินเล่อนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องตอนนี้ว่า”จำเลยที่ 3 จงใจหรือประมาทเลินเล่อ” หมายความว่า จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างใดอย่างหนึ่ง มิใช่ทั้งสองอย่างซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะบรรยายเช่นนี้ได้ ในเมื่อโจทก์ไม่แน่ใจว่ากรณีจะเป็นอย่างใด หรือสุดแต่จะนำสืบให้ศาลฟังได้ทางใดทางหนึ่ง ไม่เป็นการขัดกัน และฟ้องของโจทก์ได้กล่าวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยมาโดยละเอียด เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วทั้งในคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1, 2 ยื่นคำให้การเข้ามาในลักษณะที่เข้าใจข้อหาได้ดีอยู่แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยฟังว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1, 2 และฟังว่าจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกัน
ในเรื่องค่าเสียหาย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลล่าง ส่วนค่าเสื่อมสุขภาพอนามัย 5,000 บาท ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เรียกร้องไม่ได้ตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าเสื่อมสุขภาพอนามัยที่โจทก์เรียกร้องนี้ เป็นค่าทดแทนความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ซึ่งศาลย่อมกำหนดให้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ศาลล่างทั้งสองกำหนดไว้เป็นจำนวนที่สมควรแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข
พิพากษายืน