คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องขอให้แสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์อย่างเป็นเจ้าของมากว่า 10 ปีนั้น มิได้หมายความเฉพาะเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของที่ดินเดิมคนเดียว แต่หมายความได้ว่าเป็นปรปักษ์กับเจ้าของที่ดินทุกคนที่เข้ามาเป็นเจ้าของแทนในส่วนของเจ้าของเดิมด้วย โจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์คัดค้านในข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์ได้และศาลอุทธรณ์ควรจะต้องวินิจฉัยให้ ถ้าศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและมีข้อเท็จจริงพอที่จะวินิจฉัยให้เสร็จไปได้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ได้
การครอบครองที่ดินในฐานะผู้เช่า จะถือว่าครอบครองปรปักษ์ไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้เริ่มต้นด้วยโจทก์ยื่นร้องขอฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๓๐ เฉพาะส่วนของนายจำเนียร อิ่มโอษฐ์ ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายสำเนียง อิ่มโอษฐ์ เนื้อที่ ๔ ไร่ ๑ งาน ๙๐ ตารางวา ต่อมานายสำเนียงได้ขายส่วนของตนให้โจทก์โดยทำสัญญาซื้อขายกันเองบัดนี้หนังสือสัญญานั้นหายไปแล้ว โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้ร่วมกับส่วนที่โจทก์ซื้อจากนายจำเนียร โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมานับแต่วันซื้อจนบัดนี้เป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่โจทก์ไม่สามารถติดต่อกับนายสำเนียงให้มาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ ขอให้ศาลไต่สวนมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินเฉพาะส่วนของนายสำเนียงอิ่มโอษฐ์ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยทางครอบครองตามกฎหมาย
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่าจำเลยซื้อที่ดินเฉพาะส่วนของนายสำเนียง อิ่มโอษฐ์ และจดทะเบียนนิติกรรมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และให้โจทก์เช่าทำผลประโยชน์ ส่วนนายสำเนียงตายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาเป็นคดีมีข้อพิพาทและไม่เชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินจากนายสำเนียง แต่จำเลยเป็นผู้ซื้อและมีการจดทะเบียนแล้วโจทก์ได้เช่าที่ดินในส่วนที่จำเลยซื้อมา จึงเป็นการครอบครองไว้แทนจำเลย โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทางครอบครอง ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในผลที่ให้ยกคำร้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์คัดค้านว่าศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของโจทก์ ในประเด็นที่ว่าจำเลยได้ละทิ้งที่ดิน (ตั้งแต่ซื้อโดยทางทะเบียน) ตลอดมาถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑๔ ปี ซึ่งระยะเวลานี้โจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ต่อจำเลยอยู่ด้วย จึงเป็นการมิชอบนั้น เห็นว่าฎีกาข้อคัดค้านดังนี้ของโจทก์ฟังขึ้น เพราะในคำร้องขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์อย่างเป็นเจ้าของมากว่า๑๐ ปีนั้น มิได้มุ่งหมายเอาแต่เฉพาะเป็นปรปักษ์กับตัวนายสำเนียง อิ่มโอษฐ์คนเดียวแต่หมายความว่า ได้เป็นปรปักษ์กับเจ้าของทุกคนที่เข้ามาเป็นเจ้าของในส่วนของนายสำเนียงรวมทั้งจำเลยด้วย จึงมีประเด็นที่โจทก์ชอบจะอุทธรณ์คัดค้านในข้อนี้ต่อศาลอุทธรณ์ได้ และศาลอุทธรณ์จำต้องวินิจฉัยให้แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและมีข้อเท็จจริงพอที่จะวินิจฉัยให้เสร็จไปได้ ศาลฎีกาจึงควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ศาลฎีกาเชื่อว่าโจทก์อยู่ได้ตลอดมาเพราะโจทก์เช่าและให้ค่าเช่าจำเลยเรื่อยมาแล้วจะถือว่าโจทก์ครอบครองปรปักษ์ต่อจำเลยไม่ได้ ข้อที่โจทก์อ้างว่าได้กรรมสิทธิ์เพราะครอบครองปรปักษ์ต่อจำเลยด้วยนั้นเป็นอันฟังไม่ขึ้น
ข้อเถียงอย่างอื่นในฎีกาของโจทก์เป็นข้อปลีกย่อย ไม่ทำให้ผลเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืนตามผลที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ให้ยกฎีกาโจทก์

Share