คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำความไปบอกกล่าวแก่ประชาชนว่า จำเลยได้รับโควต้าสลากกินแบ่งฯ มาเป็นจำนวนพัน ๆ เล่ม และแสดงตนว่าเป็นคนมีฐานะการเงินดี ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงจำเลยซื้อสลากกินแบ่งฯมาจากที่อื่นโดยยอมขาดทุนแล้วนำไปขายให้แก่ผู้รับซื้อไปจำหน่ายโดยให้ส่วนลดเล่มละ 8 บาทต่องวดที่ออกสลาก แต่ผู้รับซื้อจะต้องนำเงินลงทุนมามอบให้จำเลยไว้เป็นจำนวน 2 เท่าของราคาสลากกินแบ่งฯที่รับไปจำหน่าย เมื่อผู้มาลงทุนเลิกการรับไปจำหน่าย จำเลยจะคืนเงินให้ทั้งหมด แล้วจำเลยออกหนังสือแสดงการรับเงินหรือออกเช็คที่นำไปขึ้นเงินไม่ได้ให้ไว้ จนมีผู้นำเงินมาลงทุนกับจำเลยเป็นจำนวนมากแล้วจำเลยก็หลบหนีไป ไม่มีการจ่ายส่วนลด และไม่จ่ายเงินที่นำมาลงทุนคืนให้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยปรับได้ว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความเท็จโดยเจตนาทุจริต ทำให้จำเลยได้ไปซึ่งเงินที่มีผู้นำมาลงทุน จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต้องกันมาแล้วว่า จำเลยออกเช็คโดยเซ็นชื่อให้ผิดไปจากตัวอย่างที่ให้ไว้กับธนาคาร ออกเช็คให้มีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในธนาคาร เพื่อใช้เงินทุนเมื่อขอคืนทั้งนี้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การที่จำเลยฎีกาว่าเป็นการออกเช็คเพื่อประกันหนี้ มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อทรัพย์ของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 เป็นทรัพย์ที่ยึดอายัดไว้เป็นพยานหลักฐานในคดี ทั้งยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือได้มาจากการกระทำผิด คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งคืนทรัพย์ของกลางนี้ให้แก่ผู้เสียหาย จึงไม่ใช่คำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ผู้เสียหายได้สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดตามมาตรา 43 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่ให้อำนาจพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาขอหรือเรียกร้องแทนผู้เสียหายได้
ในระหว่างพิจารณาศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยเพราะจำเลยถึงแก่กรรม คำขอใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดทางอาญาของจำเลยย่อมเป็นอันสิ้นสภาพไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือนมกราคม 2505ตลอดมาถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2507 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยได้ร่วมกันทุจริตหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงชักชวน และจูงใจประชาชนว่าจำเลยที่ 1 รู้จักสนิทสนมกับจอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ และข้าราชการผู้ใหญ่อีกหลายคน จำเลยที่ 1 ได้รับโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลจากบุคคลเหล่านั้นเป็นจำนวนพัน ๆ เล่ม สามารถนำมาจำหน่ายและให้ส่วนลดสูง และจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีฐานะการเงินดีมีตึกและบริษัทการค้าและมีเงินประกันชีวิตหลายล้านบาท ซึ่งไม่เป็นความจริง แล้วจำเลยได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชนให้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากจำเลยไปจำหน่าย จะให้ส่วนลดเล่มละ 8 บาทต่องวดที่ออกสลาก แต่ผู้ซื้อจะต้องวางเงินสำรองไว้กับจำเลยเป็นจำนวนสองเท่าของราคาสลาก ต่างหากจากค่าสลากที่ผู้รับไปจำหน่าย และจำเลยจะทำสัญญาหรือใบรับเงินหรือเช็คให้ไว้กับผู้ซื้อ ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อว่าเมื่อมีผู้นำเงินมามอบให้เป็นจำนวนมากแล้ว จำเลยจะได้เอาเงินนั้นเป็นประโยชน์ของตนเสีย เป็นเหตุให้ประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อนำเงินมาลงทุนกับจำเลยเท่าที่ได้รับแจ้งความร้องทุกข์ไว้ 183 คน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,439,000 บาท และจำเลยได้ไปซึ่งเงินที่ประชาชนผู้เสียหายนำมาส่งมอบให้โจทก์ ในส่วนที่เหลือจากจ่ายส่วนลดและยังไม่ได้จ่ายให้เป็นเงิน 3,915,290 บาท เป็นประโยชน์ส่วนตน

จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 ยังได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเขียนลายเซ็นไม่เหมือนตัวอย่างที่ให้กับธนาคาร และออกเช็คให้มีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินในบัญชีอันจะพึงจ่ายให้ได้ในขณะที่ออกเช็ค ทั้งนี้โดยจำเลยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้เสียหายได้ได้ร้องทุกข์แล้วเจ้าพนักงานจับจำเลยได้ยึดอายัดของกลางไว้มีเงินสดเงินฝากที่ธนาคารและทรัพย์สินหลายอย่างรวมราคาทั้งสิ้น 164,706.94 บาท ตามบัญชีของกลางท้ายฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343, 91, 83 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ให้สั่งคืนทรัพย์สินราคา 164,706.94บาท ตามบัญชีของกลางให้แก่ผู้เสียหายและให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ยังไม่ได้คืนรวม 3,850,583.60 บาทแก่ผู้เสียหายตามบัญชีหมายเลข1, 2, 3 ท้ายฟ้อง

จำเลยทั้ง 8 คนให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 และพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343, 91, 83 และจำเลยที่ 3 ที่ 5 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ด้วย แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 91, 83 ซึ่งเป็นกระทงหนักจำคุกจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 คนละ 3 ปี และให้ร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 5,439,000 บาท ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8

โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นมิได้สั่งคืนทรัพย์สินของกลางตามบัญชีท้ายฟ้องที่ยึดและอายัดไว้ให้แก่ผู้เสียหายตามคำขอของโจทก์จึงขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งคืนทรัพย์ตามบัญชีของกลางท้ายฟ้องนอกจากรถยนต์เก๋งทรัพย์อันดับ 5 ให้แก่ประชาชนผู้เสียหาย และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ยังไม่ได้คืน 3,793,283 บาท 06 สตางค์ แก่ผู้เสียหาย

จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 กระทำผิดตามฟ้องส่วนข้อที่ขอให้คืนทรัพย์ของกลางที่ยึดอายัดไว้ให้แก่ผู้เสียหายนั้นทรัพย์ตามบัญชีของกลางที่เป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมและจำหน่ายคดีไปแล้ว ศาลจะสั่งให้เอาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 มาคืนให้แก่ผู้เสียหายไม่ได้ และเงินที่จำเลยที่ 3, 4, 5 ฝากไว้ในธนาคารพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าเป็นเงินที่จำเลยทั้งสามได้ฉ้อโกงไปจากผู้เสียหาย จึงสั่งคืนให้ผู้เสียหายไม่ได้ พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมาว่า แม้จำเลยที่ 1 จะถึงแก่กรรม คำสั่งศาลให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ 1 ก็เป็นการเฉพาะตัวจำเลย ส่วนทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 อันเป็นของกลางเป็นวัตถุพยาน พยานเอกสาร ที่เป็นพยานหลักฐานในคดี และเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการร่วมกับจำเลยที่ 3 ที่ 4ที่ 5 กระทำผิด ฉ้อโกงประชาชน เป็นเหตุในลักษณะคดี ชอบที่ศาลจะสั่งคืนให้แก่ประชาชนผู้เสียหายไป ขอให้พิพากษาแก้สั่งคืนทรัพย์ของกลางตามคำขอ

จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดทางอาญา จำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีการหลอกลวงหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้ง จำเลยมิได้ใช้อุบายหลอกลวง ชักชวน และจูงใจผู้นำเงินมาลงทุน นำเงินมาลงทุนกับจำเลยโดยสมัครใจ ซึ่งเป็นการค้าโดยหวังผลกำไรหรือส่วนลดเป็นความรับผิดสัญญาทางแพ่ง และการออกเช็คก็เพื่อเป็นประกันหนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา ขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยเห็นว่าคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 กระทำการอย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยร่วมกันทุจริตหลอกลวงประชาชนว่ารู้จักสนิทสนมกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และบุคคลสำคัญอีกหลายคนจำเลยที่ 1 ได้รับโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นจำนวนมากจากบุคคลดังกล่าวสามารถนำมาจำหน่ายได้โดยไม่จำกัด ให้ส่วนลดสูง ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงจำเลยที่ 1 ไม่รู้จักสนิทสนมกับจอมพลสฤษดิ์และบุคคลเหล่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้โควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลจากบุคคลดังกล่าว จำเลยเพิ่งมีโควต้าสลากกินแบ่งฯ เพียง 40 เล่ม สลากที่จำเลยนำมาจำหน่าย จำเลยซื้อมาจากซุ้มหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งฯ บ้างซื้อจากที่อื่นบ้างด้วยราคาสูงกว่าราคาที่นำมาจำหน่าย แล้วจำเลยได้นำมาจำหน่ายให้แก่ผู้ซื้อโดยวิธีให้ผู้รับซื้อจะต้องมอบเงินให้จำเลย 2 เท่าของราคาสลาก ส่วนที่เกินราคาสลากจำเลยที่ 1 ว่า เอาไว้เป็นเงินหมุนเวียนซื้อสลากงวดใหม่ต่อไป โดยจำเลยจะให้ส่วนลดเล่มละ 8 บาทต่องวดที่ออกสลาก และจำเลยได้ทำหนังสือแสดงการรับเงินหรือออกเช็คตามยอดเงินนั้นให้ไว้ ถ้าจะเลิกการรับสลากไปจำหน่าย จำเลยจะคืนเงินให้ทั้งหมด ต่อมาได้ใช้วิธีการใหม่เพิ่มขึ้นอีกวิธีหนึ่ง คือ เมื่อมีผู้ลงทุนจะไม่นำสลากไปจำหน่ายเองก็ได้ ฝ่ายจำเลยจะนำไปจำหน่ายให้ผู้นำเงินมาให้ก็ได้ส่วนลดอยู่ตามเดิม วิธีแรกเรียกว่าสลากสดวิธีหลังเรียกว่าสลากแห้ง จำเลยที่ 1 แสดงตนว่าเป็นผู้มีฐานะการเงินดี แต่ไม่เป็นความจริง จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยเป็นผู้รับเงินออกใบเสร็จรับเงินหรือออกเช็คให้แก่ผู้นำมาลงทุนตามวิธีการของจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าประชาชนหลงเชื่อมาร่วมลงทุนค้าสลากกินแบ่งฯ กับจำเลยเป็นจำนวนมาก เท่าที่ร้องทุกข์มี 183 ราย เป็นจำนวนเงิน5,439,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้หลบหนีไป ไม่มีการจ่ายเงินส่วนลดกันอีก ผู้นำเงินมาลงทุนขอเงินคืน จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ก็ว่าไม่มีให้ ผู้นำเงินมาลงทุนบางรายนำเช็คที่จำเลยออกให้ไว้ไปขึ้นเงิน ธนาคารก็ปฏิเสธเพราะลายเซ็นชื่อผู้สั่งจ่ายไม่เหมือนตามตัวอย่าง และไม่มีเงินในบัญชีพอจะจ่ายให้ได้ จำนวนเงินที่ผู้นำมาลงทุนทั้งหมดหักจำนวนที่ได้รับส่วนลดไปแล้วคงเป็นเงิน 3,914,290 บาท พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมา แสดงว่าจำเลยทั้งสามนี้ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฉ้อโกงเงินผู้ที่มาลงทุน ได้ความดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้วางแผนร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงประชาชนด้วยวิธีการที่มิใช้วิสัยการค้าโดยสุจริต โดยการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จด้วยเจตนาทุจริต และโดยการหลอกลวงนั้น ทำให้จำเลยได้เงินที่มีผู้นำมาลงทุนกับจำเลยไปครบองค์ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ทุกประการแล้ว ที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ฎีกาว่าเป็นความรับผิดทางแพ่งจึงฟังไม่ขึ้น และข้อฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตไม่มีการหลอกลวงหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้ง ไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวง ชักชวน และจูงใจ ผู้มาลงทุนกับจำเลยด้วยความสมัครใจ และเป็นการลงทุนในการค้าขายเพื่อหวังส่วนลด จึงเป็นความรับผิดทางแพ่งนั้น ก็ล้วนแต่เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วทั้งสิ้น

ฎีกาของจำเลยอีกข้อหนึ่งที่ว่า การออกเช็คของจำเลยให้แก่ผู้มาลงซื้อสลากนั้น เป็นการออกให้เพื่อประกันหนี้ มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้นั้น ข้อนี้ศาลล่างทั้งสองได้ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ออกเช็คโดยเซ็นชื่อให้ผิดไปจากตัวอย่างที่ให้ไว้กับธนาคาร จำเลยที่ 5 ออกเช็คให้มีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีของธนาคาร เป็นการออกเช็คเพื่อใช้เงินทุนเมื่อขอคืน ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่จำต้องวินิจฉัย

ส่วนข้อฎีกาของโจทก์ที่ขอให้คืนทรัพย์ตามบัญชีของกลางของจำเลยที่ 1 ให้แก่ผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อทรัพย์ของกลางของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ฎีกาว่าเป็นวัตถุพยานพยานเอกสาร และเป็นของกลางอันเป็นพยานหลักฐานแห่งคดี คำขอของโจทก์ที่ขอให้คืนทรัพย์อันเป็นของจำเลยที่ 1 แก่ผู้เสียหาย จึงมิใช่คำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ผู้เสียหายได้สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดตามมาตรา 43 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ให้อำนาจพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ขอหรือเรียกร้องแทนผู้เสียหายได้ทั้งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมไปแล้ว คำขอใด ๆที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดทางอาญาของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันสิ้นสภาพไป และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาด้วยแล้วว่าเงินที่จำเลยที่ 3ที่ 4 และที่ 5 ฝากไว้ในธนาคาร พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าเป็นเงินที่จำเลยได้ฉ้อโกงมาจากผู้เสียหาย จึงสั่งคืนให้ผู้เสียหายไม่ได้ ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่สั่งคืนทรัพย์ของกลางที่เป็นของจำเลยที่ 1 ให้แก่ผู้เสียหายตามคำขอของโจทก์ จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ก็ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์และจำเลยทั้งสาม

Share