คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกเป็นความผิดต่อ รัฐ การฟ้องคดีของอัยการศาลทหารกรุงเทพ มิอาจถือ ได้ ว่าเป็นการฟ้องคดีอาญาแทนโจทก์ โจทก์จึงมิใช่คู่ความเดียว กับโจทก์ในคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพ ดังนั้นผลของคำพิพากษาคดีอาญาของ ศาลทหารกรุงเทพจึงไม่ผูกพันโจทก์และศาลที่พิจารณาคดีแพ่งหาจำต้องถือ ข้อเท็จจริงตาม ที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ สำนวนแรกนายสุกิจ เจริญอาชาชัย เป็นโจทก์ฟ้องพันโทมนู ศรฤทธิ์ชิงชัย เป็นจำเลย สำนวนหลังพันโทมนู ศรฤทธิ์ชิงชัยเป็นโจทก์ฟ้องนายสุกิจ เจริญอาชาชัย ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนหลังเป็นโจทก์และเรียกจำเลยในสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังเป็นจำเลย
โจทก์สำนวนแรกฟ้องว่า จำเลยขับขี่รถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์ของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 69,620 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมด้วยดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของโจทก์ฝ่ายเดียว ทำให้รถจำเลยต้องเสียหาย ซึ่งจำเลยได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์แล้ว สำหรับความเสียหายของรถโจทก์นั้นค่าซ่อมไม่เกิน 5,000 บาท และใช้เวลาซ่อมไม่เกิน 5 วัน หากต้องเสียค่าจ้างรถแท็กซี่ไม่เกินวันละ 200 บาท เป็นเงินไม่เกิน 1,000 บาท ทั้งรถโจทก์ไม่เสื่อมราคาอย่างใด เพราะซ่อมเปลี่ยนอุปกรณ์รถใหม่ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ ซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนแรก ฟ้องว่า จำเลยขับขี่รถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายเป็นเงิน 18,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลย (โจทก์ในสำนวนแรก) ให้การว่า เหตุครั้งนี้โจทก์ถูกฟ้องดำเนินคดีต่อศาลทหารกรุงเทพแต่ฝ่ายเดียว โจทก์มิได้เสียหายดังฟ้อง นอกจากนี้ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลย (โจทก์ในสำนวนหลัง) ชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ (จำเลยในสำนวนหลัง) เป็นเงิน 46,620 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลย (โจทก์ในสำนวนหลัง) ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนแทนโจทก์ (จำเลยในสำนวนหลัง) โดยกำหนดค่าทนายความ2,000 บาท ให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาข้อกฎหมายทั้งสองสำนวนของจำเลยที่ว่าเกี่ยวกับเรื่องรถชนกันนี้โจทก์เป็นผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยขับขี่รถยนต์ประมาททำให้โจทก์เสียหายอัยการศาลทหารกรุงเทพได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลทหารกรุงเทพและโจทก์ไปเบิกความเป็นพยานโจทก์ในฐานะผู้เสียหายด้วย ผลที่สุดศาลทหารกรุงเทพได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 155ก./2528ให้ยกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพดังกล่าวจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยในคดีนี้ ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 914/2520 ระหว่างนางปรียา ทองพุฒ โจทก์นายสุรัตน์ นิตย์แสง กับพวก จำเลย จึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำพิพากษาศาลทหารกรุงเทพ(ใช้กฎ 6 ต.ค. 19) คดีดำที่ 422ก./2527 คดีแดงที่ 145ก./2528ระหว่างอัยการศาลทหารกรุงเทพ โจทก์ พันโทมนู ศรฤทธิ์ชิงชัย จำเลยที่จำเลยอ้างถึงโดยโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าอัยการศาลทหารกรุงเทพได้ยื่นฟ้องจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 เท่านั้น ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นความผิดต่อรัฐโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย จึงไม่อาจถือได้ว่าอัยการศาลทหารกรุงเทพฟ้องคดีอาญาแทนโจทก์ โจทก์ในคดีนี้จึงมิใช่คู่ความเดียวกับโจทก์ในคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพผลของคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ศาลที่พิจารณาคดีแพ่งหาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่ คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้ปัญหาในสำนวนแรกตามฎีกาของจำเลยมีต่อไปว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยหรือไม่เพียงใด… ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าฝ่ายจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยขับรถยนต์เลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์ที่โจทก์ขับขี่สวนทางมาในระยะกระชั้นชิด โดยจำเลยไม่ให้สัญญาณไฟเลี้ยว และไม่หยุดรอให้ถนนที่เป็นช่องทางเดินรถของรถที่แล่นสวนมาว่างเสียก่อน โจทก์จึงไม่สามารถหยุดรถหรือหลบหลีกได้ทัน เป็นเหตุให้รถของโจทก์ชนกับรถของจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมชี้ชัดว่าจำเลยกระทำประมาทเลินเล่อต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหายฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share