คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1924/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติให้ใช้บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 5 บัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้น การสมรส ฯลฯ” ดังนั้น ปัญหาว่าการสมรสของโจทก์หรือของจำเลยฝ่ายใดจะสมบูรณ์และมีสิทธิได้รับมรดกของสามีที่ตายจึงต้องวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิมจะนำบรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่ซึ่งออกมาใช้บังคับขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาขึ้นมาปรับแก่คดีหาได้ไม่
คำว่า สิทธิ ตามมาตรา 1494 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติว่า เหตุที่การสมรสถูกเพิกถอนไม่เป็นผลให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสียสิทธิที่ได้มา เพราะการสมรสนั้น มีความหมายรวมถึงสิทธิในการรับมรดกด้วย ดังนั้น แม้การสมรสระหว่างโจทก์กับเจ้ามรดกจะเป็นโมฆะและต้องถูกเพิกถอนเพราะเจ้ามรดกมีจำเลยเป็นภรรยาอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่า โจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกตามมาตรา 1494 ดังกล่าว
ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยแถลงว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างเจ้ามรดกกับโจทก์จำเลยต่างก็สุจริต ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามทะเบียนสมรสว่าของฝ่ายใดจะสมบูรณ์และมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกแล้วต่างฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานบุคคล ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงกันกำหนดประเด็นข้อพิพาทให้ศาลวินิจฉัยซึ่งเป็นการสละข้อต่อสู้ในประเด็นข้ออื่นตามคำฟ้องและคำให้การแล้ว คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเท่าที่คู่ความตกลงกำหนดไว้เท่านั้น จำเลยจะหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างต่อมาว่า ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องไม่ใช่ทรัพย์มรดก หรือเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบหาได้ไม่ เมื่อศาลเห็นว่า โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกก็วินิจฉัยต่อไปได้ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกเพียงใด โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประยูร โดยจดทะเบียนสมรสกัน จำเลยที่ ๑ แต่งงานกับนายประยูรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่มิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรกับนายประยูร ๒ คน จำเลยที่ ๒ เป็นมารดาของนายประยูร ต่อมานายประยูรถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรม ระหว่างนายประยูรอยู่กินเป็นสามีภรรยากับจำเลยที่ ๑ ได้ทำมาหากินร่วมกันเกิดทรัพย์หลายอย่างตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องรวมราคา ๔๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ มีสิทธิในฐานะหุ้นส่วนครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นมรดกของนายประยูรตกทอดแก่โจทก์และจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นทายาท แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมแบ่งให้จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ และยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน หากโจทก์จดทะเบียนกับเจ้ามรดกก็เป็นโมฆะ โจทก์จึงมิใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีสิทธิได้รับมรดก ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องบางรายการไม่ใช่ทรัพย์มรดก และจำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับเจ้ามรดกเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๑ เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เป็นทายาท ซึ่งมีสิทธิรับมรดก
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๙๔ ถือว่าการสมรสสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองฝ่ายแถลงว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างเจ้ามรดกกับโจทก์และจำเลยต่างก็สุจริต ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามทะเบียนสมรสว่า ของฝ่ายใดจะสมบูรณ์และมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกโดยทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานบุคคล
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การจดทะเบียนสมรสครั้งที่ ๒ ระหว่างเจ้ามรดกกับโจทก์เป็นโมฆะตามมาตรา ๑๔๙๐ พิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยชนะคดี ตามฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ แบ่งทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องส่วนที่เป็นมรดกของผู้ตายให้โจทก์ ๑ ใน ๘ ส่วน หากการแบ่งไม่ตกลงกันให้ประมูลระหว่างคู่ความหรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์ตามส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเบื้องต้นศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ ขึ้นมาปรับแก่คดีนี้ เพราะกฎหมายดังกล่าวออกมาใช้บังคับขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามพระราชบัญญัติให้ใช้บรรพ ๕ แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๕ บัญญัติว่า บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้น การสมรส ฯลฯ ดังนั้น ปัญหาว่าการสมรสของโจทก์หรือของจำเลยฝ่ายใดจะสมบูรณ์และมีสิทธิได้รับมรดกของสามีที่ตายจึงต้องวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม สำหรับปัญหาว่า เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับเข้ามรดกเป็นโมฆะ โจทก์จะมีสิทธิได้รับมรดกของนายประยูรเจ้ามรดกหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้การสมรสระหว่างโจทก์กับเจ้ามรดกจะเป็นโมฆะและต้องถูกเพิกถอนก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่า โจทก์ทำการสมรสโดยสุจริต โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของนายประยูรเจ้ามรดก ตามนัยมาตรา ๑๔๙๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติว่า เหตุที่การสมรสถูกเพิกถอนไม่เป็นผลให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสียสิทธิที่ได้มา เพราะการสมรสนั้น เพราะคำว่าสิทธิตามมาตราดังกล่าวมีความหมายรวมถึงสิทธิในการรับมรดกด้วย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ ๑ ฎีกาข้อต่อมาว่า ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องของโจทก์บางรายการไม่ใช่เป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก และทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏว่าทรัพย์รายการใดเป็นมรดกของนายประยูรผู้ตายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรายการกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๑๙ โจทก์จำเลยแถลงว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างเจ้ามรดกกับโจทก์จำเลยต่างก็สุจริต ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามทะเบียนสมรสของว่าของฝ่ายใดจะสมบูรณ์และมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกแล้วต่างฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานบุคคล ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยตกลงกันกำหนดประเด็นข้อพิพาทให้ศาลวินิจฉัยซึ่งเป็นการสละข้อต่อสู้ในประเด็นข้ออื่นตามคำฟ้องและคำให้การแล้ว คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเท่าที่คู่ความตกลงกำหนดไว้เท่านั้น จำเลยจะหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างต่อมาว่า ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องไม่ใช่ทรัพย์มรดก หรือเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบหาได้ไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกก็วินิจฉัยต่อไปได้ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกเพียงใด โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share