แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีปัญหาว่า การลงชื่อทายาทตามฟ้องลงในแบบ น.ส.3 ชอบหรือไม่เท่านั้น ฉะนั้น แม้โจทก์จะมิได้ระบุจำนวนเนื้อที่ที่พิพาทให้แน่ชัดว่าครอบครองจำนวนเท่าใดก็ตาม โจทก์ก็ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา โดยบรรยายข้อเท็จจริงและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนระบุไว้ชัดแจ้งว่า “ให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 9 ส่วน ให้โจทก์ทั้ง 3 ได้คนละ 1 ส่วน “คำพิพากษาดังกล่าวที่ให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วน ก็เพื่อจะกำหนดจำนวนเนื้อที่ดินที่โจทก์แต่ละคนที่ฟ้องว่าควรจะได้รับส่วนแบ่งมากน้อยเพียงใดเท่านั้น คำพิพากษาย่อมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความคือโจทก์ทั้งสามในคดีนั้น ส่วนทายาทอื่นไม่ได้เป็นโจทก์หรือร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วม จึงไม่อาจจะถือเอาประโยชน์จากคำพิพากษานี้ได้
ทายาทอื่นมิได้ยื่นคำขอรับมรดกในที่ดินแปลงพิพาทซึ่งจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินว่าด้วยการได้ซึ่งที่ดินกองมรดก การที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนใส่ชื่อทายาทนั้นลงไว้ในแบบ น.ส.3 จึงไม่ถูกต้อง โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและมีส่วนได้ในที่ดินแปลงพิพาทจึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์แต่ผู้เดียวมีชื่อเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า มี น.ส.๓ แปลงหนึ่ง เนื้อที่ ๖๓ ไร่ ๓ งาน ๖๘ ตารางวา และได้ครอบครองทำนาตลอดมาจนบัดนี้ บิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว โจทก์มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๙ คน คือ ๑.นางเปิ๊ต แขกเต้า ๒.นางโล๊ด ปุ๊แง ๓.นายหิน แขกเต้า ๔.นางพิมพ์ เปรมสำราญ ๕.นางนิ่ม เจียมอยู่เพ็ง ๖.นายริน แขกเต้า ๗.นายเหล็ง แขกเต้า ๘.นางมา แขกเต้า ๙.นายกรี แขกเต้า โจทก์คดีนี้ นางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็งได้ฟ้องโจทก์ขอแบ่งที่ดินดังกล่าว ในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้แบ่งที่ดินออกเป็น ๙ ส่วน ให้นางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็งคนละหนึ่งส่วน หลังจากศาลฎีกาพิพากษาแล้วโจทก์ยังใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนเองติดต่อกันตลอดมาจนทุกวันนี้ โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่เหลือจากที่แบ่งให้นางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็ง ตามคำพิพากษาแล้ว บรรดาทายาทอื่นที่มิได้ส่วนแบ่งย่อมหมดสิทธิในที่ดินแปลงนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๓ เจ้าพนักงานได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวออกเป็น ๙ ส่วน ให้กับบุคคล ๙ คนดังกล่าวคนละหนึ่งส่วน แต่ปรากฏว่านายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม ไม่อาจถือเอาประโยชน์ตามคำพิพากษาฎีกานั้นได้ และไม่ปรากฏว่ามีทายาทของบุคคลทั้งสามมาขอรับมรดกแต่อย่างใด จึงเป็นการจดทะเบียนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะ โจทก์มีหนังสือคัดค้านขอให้ถอนชื่อบุคคลอื่นนอกจากนางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็งออกจากทะเบียนแล้ว แต่จำเลยทั้งสองในฐานะเจ้าพนักงานมีหน้าที่จะต้องแก้ไขหรือเพิกถอน แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขหรือเพิกถอนจนบัดนี้ ทำให้โจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองได้รับความเสียหาย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนใส่ชื่อ นายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า นางมา แขกเต้า ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสองถอนชื่อนายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า นางมา แขกเต้า ออกจาก น.ส.๓ แล้วใส่ชื่อโจทก์ไว้ตามเดิม
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินแปลงนี้จำนวนเท่าใด จำเลยรับว่าเจ้าพนักงานได้ทำการจดทะเบียนสิทธินิตกรรมแบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์และทายาทอื่นรวม ๙ คน ได้รับคนละ ๑ ส่วน ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ไม่เป็นโมฆะ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องนางพิมพ์ เปรมสำราญ กับพวก และนางนิ่ม เจียมอยู่เพ็ง กับพวกนั้น คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาไม่ผูกพันจำเลยบุคคลภายนอก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคุลม การที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนใส่ชื่อนายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ลงในแบบ น.ส.๓ นั้น เป็นการไม่ชอบ ส่วนที่ขอให้ลงชื่อโจทก์แทนบุคคลทั้งสามโดยอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินส่วนนี้มานั้น จำเลยไม่ได้เข้าไปแย้งหรือรบกวนการครอบครองของโจทก์ โจทก์จะฟ้องจำเลยหาได้ไม่ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนชื่อนายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ออกจากแบบ น.ส.๓ และถอนชื่อออกจากสารบัญจดทะเบียนประเภทแบ่งให้ หากจำเลยขัดขืนให้ถือคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ได้แสดงสภาพแห่งข้ออ้างให้แน่ชัดว่าโจทก์ครอบครองที่ดินแปลงพิพาทจำนวนเท่าใดนั้น คดีนี้มีปัญหาวินิจฉัยว่า การลงชื่อทายาทตามฟ้องลงในแบบ น.ส.๓ ชอบหรือไม่เท่านั้น ฉะนั้นแม้โจทก์จะมิได้ระบุจำนวนเนื้อที่พิพาทให้แน่ชัดว่าครอบครองจำนวนเท่าใดก็ตาม โจทก์ก็ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา โดยบรรยายข้อเท็จจริงและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีนั้น ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาปัญหาว่าการจดทะเบียนแบ่งที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และโจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสองได้หรือไม่นั้น เห็นว่าที่พิพาทนี้มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เดิมมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียว ต่อมานางเปิ๊ต นางโล๊ด นายเหล็ง ทายาทของโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ ขอแบ่งที่พิพาท คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น ๙ ส่วน ให้ทายาท ๓ คนที่ฟ้องคดีดังกล่าวได้คนละ ๑ ส่วน ในคำพิพากษาฎีกาได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า “ให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น ๙ ส่วน ให้โจทก์ทั้ง ๓ ได้คนละ ๑ ส่วน” คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวที่ให้แบ่งที่พิพาทเป็น ๙ ส่วน ก็เพื่อจะกำหนดจำนวนเนื้อที่ดินที่โจทก์แต่ละคนที่ฟ้องว่าควรจะได้รับส่วนแบ่งมากน้อยเพียงใดเท่านั้น คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความคือโจทก์ทั้งสามในคดี คือนางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็ง ส่วนทายาทอื่นไม่ได้เป็นโจทก์หรือร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงไม่อาจจะถือเอาประโยชน์จากคำพิพากษานี้ได้ อีกประการหนึ่งนายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ไม่ได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกในที่ดินแปลงพิพาท ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินว่าด้วยการได้มาซึ่งที่ดินทางมรดก ฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนใส่ชื่อบุคคลทั้งสามลงไว้ในแบบ น.ส.๓ จึงไม่ถูกต้อง โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและส่วนได้เสียในที่ดินแปลงพิพาทจึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน