คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1924-1925/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าของเรือให้จำเลยกับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างนำเรือพร้อมทั้งอวนและสิ่งของเครื่องใช้ไปจับปลาในทะเลในระยะเวลา 2 วัน เมื่อจับปลาเสร็จก็ต้องนำเรือกลับมามอบให้แก่เจ้าของเรือเป็นกิจวัตรในการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้าง ดังนี้ การครอบครองเรือพร้อมทั้งอวนและเครื่องใช้จึงอยู่ในความครอบครองของนายจ้างเจ้าของทรัพย์ เมื่อจำเลยได้เอาเรือและอวน สิ่งของเครื่องใช้ไปซุกซ่อนแล้วบอกขายโดยเจตนาทุจริต จึงเป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่รับของโจร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันกระทำความผิดคือใช้ชวานเป็นอาวุธตีนายโรจน์โดยเจตนาฆ่า นายโรจน์ได้ตกลงไปในทะเลและถึงแก่ความตาย เหตุที่จำเลยฆ่านายโรจน์ก็เพื่อกระทำความผิดฐานยักยอกเรือยนต์ของนายกี่พิงนายจ้างของจำเลยและเพื่อปกปิดความผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6)(7), 83

สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้รับมอบเรือจับปลาจากนายกี่พิงเพื่อให้ใช้ออกไปจับปลาในทะเล จำเลยได้เบียดบังเอาเรือไว้โดยเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 83 นับโทษต่อจากสำนวนแรก

จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 353 ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91จำคุกจำเลยตลอดชีวิต

จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยสำนวนแรกว่าพยานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานฆ่านายโรจน์ได้

สำนวนหลังวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเอาเรือไปซุกซ่อนและบอกขายนั้น เป็นการลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกดังโจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้อง ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องทั้งสองสำนวน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าขณะที่จำเลยทำร้ายผู้ตายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาเพื่อเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะลักเอาเรือของกลางและมิใช่เจตนาปกปิดการกระทำผิดหรือหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6)(7)

สำหรับข้อหาในสำนวนที่สอง นั้น เห็นว่าการที่นายกี่พิงสั่งให้นายจิตรซึ่งเป็นลูกจ้างนำเรือยนต์สงวนศิลป์ออกไปจับปลาตามหน้าที่เช่นนี้ ยังไม่พอฟังว่านายกี่พิงได้มอบการครอบครองเรือยนต์สงวนศิลป์พร้อมด้วยอวนและเครื่องใช้ทั้งหลายให้อยู่ในความครอบครองของนายจิตรเพราะการไปจับปลามีระยะเวลาเพียง 2 วัน และไปจับปลาตามคำสั่งของนายกี่พิง เมื่อจับปลาเสร็จนายจิตร์ก็จะต้องนำเรือกลับมาเป็นกิจวัตรในการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้างดังนั้น การครอบครองเรือยนต์สงวนศิลป์พร้อมด้วยอวนและเครื่องใช้จึงอยู่ในความครอบครองของนายกี่พิงเจ้าทรัพย์ การที่นายจิตรและจำเลยรวมกันนำเอาเรือสงวนศิลป์และอวนสิ่งของเครื่องใช้ไปซุกซ่อนแล้วบอกขายโดยเจตนาทุจริตจึงเป็นการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามข้อหาในฟ้องสำนวนที่สอง โดยเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแต่ต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พร้อมกันพิพากษาแก้ เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share