แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์นำรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ มาประกันภัยไว้กับจำเลย ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย ลูกจ้างของโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวโดยมีรถพ่วงอยู่ด้วย ไปเกิดอุบัติเหตุชนการ์ดเลนคอสะพานเป็นเหตุให้การ์ดเลนคอสะพานและรถยนต์บรรทุกมีประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย ซึ่งตามสัญญาประกันภัยได้กำหนดถึงการคุ้มครองความรับผิดไว้ในสัญญา แต่ก็ได้กำหนดข้อยกเว้นรับผิดไว้หลายประการ โดยมีสัญญาข้อหนึ่งไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้ลากจูงหรือผลักดัน เว้นแต่รถที่ถูกลากจูงหรือถูกผลักดันได้ประกันภัยไว้กับบริษัท แสดงให้เห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยไม่ประสงค์จะคุ้มครองถึงกรณีที่มีการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปลากจูงหรือผลักดัน อันทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งหากผู้เอาประกันภัยประสงค์จะให้คุ้มครองถึงส่วนที่ลากจูงก็จะต้องแจ้งความจำนงให้ชัดเจนเพื่อผู้รับประกันภัยจะได้กำหนดเบี้ยประกันให้พอเหมาะกับความเสี่ยงที่มากขึ้น การที่โจทก์นำรถที่เอาประกันภัยไปลากจูงรถพ่วงอีกคันหนึ่งจึงเป็นการกระทำเข้าข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ โจทก์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวไว้กับจำเลย ต่อมา ระหว่างที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลใช้บังคับ รถยนต์ที่เอาประกันภัยเกิดอุบัติเหตุชนการ์ดเลนคอสะพานทำให้รถยนต์ที่เอาประกันภัยและการ์ดเลนคอสะพานได้รับความเสียหาย โจทก์เสียค่าซ่อมการ์ดเลนคอสะพานให้แก่กรมทางหลวง 39,682 บาท ค่าซ่อมรถยนต์บรรทุก 177,639 บาท ค่าขาดประโยชน์ 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 517,321 บาท แต่จำเลยไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 517,321 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยรับประกันภัยโดยระบุลักษณะตัวรถว่าเป็นแบบกระบะดั๊มบรรทุก จำเลยมิได้รับประกันภัยรถพ่วง ขณะเกิดเหตุรถยนต์คันดังกล่าวได้พ่วงรถพ่วงไปด้วย ซึ่งเงื่อนไขกรมธรรม์ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้ลากจูงหรือผลักดัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าซ่อมการ์ดเลนคอสะพาน ทั้งไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายจากการใช้รถยนต์ผิดเงื่อนไข นอกจากนี้รถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไม่ได้เสียหาย แต่ส่วนที่เสียหายนั้นเป็นรถพ่วง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 217,321 บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “โจทก์นำรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ประกันภัยไว้กับจำเลยในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย ลูกจ้างของโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวโดยมีรถพ่วงอยู่ด้วย ไปเกิดอุบัติเหตุชนการ์ดเลนคอสะพานเป็นเหตุให้การ์ดเลนคอสะพานและรถยนต์บรรทุกมีประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โดยรถยนต์บรรทุกได้รับความเสียหายที่บริเวณล้อหลังส่วนหน้าข้างซ้าย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำรถยนต์บรรทุกไปพ่วงรถพ่วงแล้วเกิดอุบัติเหตุเป็นการผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด เห็นว่า สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์ ผู้เอาประกันภัยและจำเลย ผู้รับประกันภัย ได้กำหนดถึงการคุ้มครองความรับผิดไว้ในสัญญาหมวดที่ 2 ส่วนที่ 2 การคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และหมวดที่ 3 การคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ตามสัญญาประกันภัย แต่ก็ได้กำหนดข้อยกเว้นความรับผิดไว้หลายประการ ซึ่งตามข้อ 2.11.4 และ 3.9.1 ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้ลากจูงหรือผลักดัน เว้นแต่รถที่ถูกลากจูงหรือถูกผลักดันได้ประกันภัยไว้กับบริษัท แสดงให้เห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยไม่ประสงค์จะคุ้มครองถึงกรณีที่มีการใช้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไปลากจูงหรือผลักดันอันทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งหากผู้เอาประกันภัยประสงค์จะให้คุ้มครองถึงส่วนที่ลากจูง ก็จะต้องแจ้งความจำนงให้ชัดเจนเพื่อผู้รับประกันภัยจะได้กำหนดเบี้ยประกันให้พอเหมาะกับความเสี่ยงที่มากขึ้นนั้น ดังนั้น การที่โจทก์นำรถที่เอาประกันภัยไปลากจูงรถพ่วงอีกคันหนึ่งจึงเป็นการกระทำเข้าข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง