คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1922/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การอุทิศที่ดินเพื่อเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหาตกอยู่ในบังคับว่าด้วยการยกให้ไม่แม้การยกให้โดยปริยายก็มีผลทำให้ที่ดินที่ยกให้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ไม่จำต้องจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็สมบูรณ์ตามกฎหมาย การจดทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการ ศาลย่อมไม่อาจสั่งบังคับให้เจ้าพนักงานซึ่งมิใช่คู่ความดำเนินการจดทะเบียนที่ดินพิพาทนั้นให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8375 เมื่อประมาณปี 2503 จำเลยได้ขออนุญาตโจทก์ทั้งสองปลูกสร้างประตูระบายน้ำคลองบางหลวงและปรับปรุงที่ดินเพื่อก่อสร้างบ้านพักพนักงานบนที่ดินของโจทก์ทั้งสองเป็นจำนวนเนื้อที่ประมาณ 340 ตารางวา โดยตัวแทนจำเลยหลอกลวงว่ากำลังขออนุมัติเบิกซื้อที่ดินต่อผู้บังคับบัญชา โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อจึงมิได้ทักท้วง แต่จำเลยไม่ชำระค่าที่ดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายขาดประโยชน์ที่ควรได้รับขอให้บังคับจำเลยทำการแบ่งแยกที่ดินที่จำเลยก่อสร้างประตูระบายน้ำและบ้านพักบริเวณประตูระบายน้ำคลองบางหลวงเนื้อที่ 340 ตารางวาออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และขอให้ชดใช้ค่าที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองกับชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่โจทก์ขาดรายได้
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้เพื่อการชลประทาน โดยจำเลยตกลงซื้อที่ดินจากผู้มีกรรมสิทธิ์เมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนนิติกรรมอีกนั้น โดยเจ้าของที่ดินดังกล่าวได้สละการครอบครองให้แก่จำเลยเพื่อใช้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยได้ปักหลักเขตชลประทานเป็นเนื้อที่ 2 ไร่เศษ โดยปลูกสร้างอาคารประตูระบายน้ำ บ้านพักและสถานที่ปฏิบัติงาน การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลาถึง10 ปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องราคาที่ดินจากจำเลยเนื่องจากสิทธิดังกล่าวขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้องและให้บังคับโจทก์ทั้งสองนำที่ดินโฉนดเลขที่ 8375 ไปทำการรังวัดแบ่งแยกกันที่เขตที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานออกจากโฉนดดังกล่าว หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งเกินกำหนด ศาลชั้นต้นไม่รับคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสองนำที่ดินโฉนดเลขที่ 8375 ไปทำการรังวัดแบ่งแยกกันเขตที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกจากโฉนดดังกล่าว โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 8375 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 8 ตารางวา โจทก์ทั้งสองได้รับยกให้จากนางฮุ้น ไซ่ไหล มารดาของโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่3 ธันวาคม 2502 จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทสร้างเป็นประตูระบายน้ำ บ้านพักและที่ทำการของจำเลยโดยไม่ได้ซื้อและไม่ได้ให้ค่าตอบแทนแก่นางฮุ้นเจ้าของกรรมสิทธิ์เดินรวมทั้งโจทก์ทั้งสองด้วยจำเลยได้ใช้ที่ดินพิพาทเพื่อการชลประทานและก่อสร้างประตูระบายน้ำมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว แล้ววินิจฉัยว่า นางฮุ้นได้สละการครอบครองโดยยกให้แก่จำเลยโดยปริยายแล้วตั้งแต่ประมาณปี 2490 เมื่อจำเลยได้เข้าไปครอบครองดูแลและใช้ที่ดินพิพาทก่อสร้างประตูระบายน้ำตลอดจนบ้านพักและที่ทำการของจำเลยเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ อีกทั้งได้มีการปักหลักเขตของจำเลย ที่มีเครื่องหมายว่าชป. ทั้งสี่ด้าน อันแสดงถึงเขตที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นส่วนสัดในที่ดินพิพาท ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) นับแต่ที่นางฮุ้นสละการครอบครองยกให้แก่จำเลย ถึงแม้ต่อมาโจทก์ทั้งสองจะได้รับโอนที่ดินพิพาทไว้เมื่อปี 2502 ก็ไม่อาจอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ขึ้นต่อสู้จำเลยได้ เพราะการอุทิศที่ดินเพื่อเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหาตกอยู่ในบังคับว่าด้วยการยกให้ไม่ แม้การยกให้โดยปริยายก็มีผลทำให้ที่ดินที่ยกให้นั้นตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วไม่จำต้องจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปทำการรังวัดแบ่งแยกเขตที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เห็นว่า การที่นางฮุ้นมารดาโจทก์ทั้งสองตกลงยกที่ดินพิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองแล้ว ที่ดินพิพาทก็ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันที แต่การจดทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการ ศาลย่อมไม่อาจสั่งบังคับให้เจ้าพนักงานซึ่งมิใช่คู่ความดำเนินการจดทะเบียนที่ดินพิพาทนั้นให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้เช่นกัน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้ยกคำขอที่ให้โจทก์ทั้งสองนำที่ดินโฉนดเลขที่ 8375 ไปทำการรังวัดแบ่งแยกกันเขตที่ดินส่วนที่ทำเครื่องหมายเส้นสีแดงตามหลักลบ.1 ลบ.2 บล.6 และ บล.8 ในแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.2 ออกจากโฉนดดังกล่าวโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share