แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยใช้ อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกำลังไขกุญแจบ้าน แต่ เป็นจังหวะ เดียว กันกับที่ผู้เสียหายถอย หลังออกมาเพื่อให้แสงสว่างส่องให้เห็นลูกกุญแจ กระสุนปืนจึงไม่ถูกผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไปบ้านนาง ป. จำเลยจึงยิงปืนมาอีก 1 นัด และตาม ไปร้องตะโกน ด่า ท้าทายอยู่หน้าบ้านนาง ป.ย้ำ ให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าประสงค์จะยิงผู้เสียหายมิใช่เป็นการร้องขู่ และจากการตรวจ ที่ เกิด เหตุพบรู กระสุนปืนลูกซองที่ประตูบ้าน 9 รู ที่ฝาปูนซีเมนต์ข้างประตู 8 รู ที่เพดานชั้นล่างหน้าประตู 4 รู ที่ฝา กระดาน ชั้น ที่สองตรง ห้องนอนของผู้เสียหาย9 รู รู กระสุนปืนที่ชั้นล่างสูงจากพื้นระดับหน้าอกและทะลุเข้าในบ้านถูก ตู้กระจกซึ่ง อยู่ตรงกันข้ามแตก แม้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ ยิงเป็นปืนลูกซองยาว แต่ โอกาสที่จะยิงพลาดก็ย่อมมีได้ เพราะจำเลยอาจยิงปืนไม่แม่น และไม่มีความชำนาญ ในการใช้ อาวุธปืน หาใช่เพราะจำเลยไม่มีเจตนายิงผู้เสียหายไม่ ประกอบกับเป็นจังหวะ เดียว กันกับที่ผู้เสียหายถอย หลังเพื่อให้เห็นลูกกุญแจที่จะไข มิใช่ว่าถ้า เป็นอาวุธปืนลูกซองแล้วจะต้อง ยิงถูก เสมอไป ข้อเท็จจริงดังกล่าวเชื่อได้ ว่าจำเลยได้ ใช้ อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดย มีเจตนาฆ่าจริง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,91, 32, 33 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 มาตรา 5, 7 ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาทผิดตามมาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ที่แก้ไขแล้วจำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000บาท รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา29, 30 ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ และลงโทษในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 72 วรรคหนึ่ง และมาตรา 72 ทวิ วรรคสองส่วนกำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่ปรับและไม่รอการลงโทษ และจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 10 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ อีก 2 กระทงแล้วเป็นจำคุก 11 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว…คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ปรากฏตามคำเบิกความของผู้เสียหายและนางประภา ษัฏเสน พยานโจทก์ว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนผู้เสียหายหันไปดูเห็นจำเลยถืออาวุธปืนยาวอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 6 เมตรผู้เสียหายวิ่งไปที่บ้านนางประภา ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้นทางด้านหลังอีก 1 นัด นางประภาเปิดประตูรับผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งเข้าไปในบ้าน จำเลยได้ตะโกนร้องอยู่ริมถนนว่า “อีวันมึงอย่าหนีคืนนี้กูสู้ตาย” และร้องอีกว่า “กลับไปยิงบ้านดีกว่าไม่มีคนแล้ว”ต่อมาได้ยินเสียงปืนดังอีก 2 นัด ทางบ้านผู้เสียหาย นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางหนูวาด จินดาแก้ว ซึ่งมีบ้านอยู่คนละฝั่งถนนกับบ้านผู้เสียหายห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 2 ช่วงเสาไฟฟ้าเบิกความว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดทางบ้านผู้เสียหายมีเสียงผู้หญิงร้องต่อมาได้ยินเสียงปืนอีก 2 นัด และมีเสียงผู้ชายมาร้องตะโกนที่หน้าบ้านเรียกสามีพยาน พยานจำได้ว่าเป็นเสียงของจำเลย จึงเปิดประตูออกไปดู เห็นจำเลยเดินอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน ร้อยตำรวจตรีประสิทธิ์เพ็งพา พนักงานสอบสวนผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุก็เบิกความว่า ที่หน้าบ้านของผู้เสียหาย หน้าบ้านของนางหนูวาด และหน้าบ้านของญาติจำเลยมีแสงสว่างจากไฟนีออน พยานโจทก์เหล่านี้อยู่หมู่บ้านเดียวกับจำเลย รู้จักจำเลยมานานแล้ว จึงเชื่อได้ว่าพยานโจทก์ได้เห็นและจำจำเลยได้จริง มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้เสียหายเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ปรากฏตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่า เมื่อจะไขกุญแจเข้าบ้านผู้เสียหายได้ถอยหลังออกมา 1 ก้าว เพื่อให้แสงไฟส่องเห็นลูกกุญแจ และเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แต่ไม่ถูกผู้เสียหาย จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุของสิบตำรวจเอกชาลี แก้วแกมทอง และร้อยตำรวจตรีประสิทธิ์ เพ็งพา พบรูกระสุนปืนลูกซองที่ประตูหน้าบ้าน 9 รู ที่ฝาปูนซีเมนต์ข้างประตู 8 รู ที่เพดานชั้นล่างหน้าประตู 4 รู ที่ฝากระดานชั้นที่สองตรงห้องนอนของผู้เสียหาย 9 รู รูกระสุนปืนที่บ้านชั้นล่างสูงจากพื้นดินระดับหน้าอก และกระสุนปืนได้ทะลุเข้าไปในบ้านถูกตู้กระจกซึ่งอยู่ตรงข้ามประตูแตก เห็นได้ว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกำลังไขกุญแจบ้าน แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้เสียหายถอยหลังออกมาเพื่อให้แสงสว่างส่องให้เห็นรูกุญแจ กระสุนปืนจึงไม่ถูกผู้เสียหาย หาใช่เพราะจำเลยไม่มีเจตนายิงผู้เสียหายไม่ เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไปที่บ้านนางประภาจำเลยยังยิงปืนมาอีก 1 นัด และตามไปร้องตะโกนด่าท้าทายอยู่ที่หน้าบ้านนางประภา ย้ำให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าประสงค์จะยิงผู้เสียหายมิใช่เป็นการร้องขู่ แม้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงเป็นปืนลูกซองยาวแต่โอกาสที่จะยิงพลาดก็ย่อมมิได้ เพราะจำเลยอาจยิงปืนไม่แม่นและไม่มีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน ประกอบกับเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้เสียหายถอยหลังเพื่อให้เห็นลูกกุญแจที่จะไข มิใช่ว่าถ้าเป็นปืนลูกซองแล้วจะต้องยิงถูกเสมอไป ข้อเท็จจริงได้ความดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าจริงตามที่โจทก์ฟ้อง พยานของจำเลยที่อ้างฐานที่อยู่นั้นไม่อาจจะฟังหักล้างพยานโจทก์ได้…”
พิพากษายืน.