คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1918/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินที่ตกลงซื้อร่วมกันเป็นส่วนสัดและทำถนนพิพาทตามที่ตกลงกันก่อนทำหนังสือซื้อขายที่ดิน โดยเจ้าของที่ดินอนุญาต และโจทก์ได้ใช้ถนนพิพาทตลอดมาจนถึงวันที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นเป็นเวลาเกิน 10 ปี เมื่อทางพิพาทได้ใช้เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วโดยจำเลยมิได้ทักท้วงหรือห้ามปราม ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมซึ่งโจทก์ได้มาโดยอายุความ จำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้น
การได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความ มิใช่ได้มาทางนิติกรรม จึงไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งห้าและจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดรวม ๖ โฉนด ที่ดินดังกล่าวอยู่ติดต่อกัน โจทก์ทั้งห้า จำเลยและนางส้ม สัมพันธ์แพ ได้จดทะเบียนซื้อที่ดินรวม ๖ โฉนดดังกล่าวและที่ดินอีกโฉนดหนึ่งมาแบ่งกันเพื่อใช้เป็นโกดังถ่านและที่อยู่อาศัย ก่อนจดทะเบียนซื้อได้ทำสัญญาจะซื้อขายและชำระค่าที่ดินบางส่วนเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เจ้าของที่ดินได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ทั้งห้า จำเลยและนางส้ม เข้าทำประโยชน์การซื้อที่ดินนี้ตกลงกันว่าจะทำถนนผ่านกลางที่ดินเพื่อใช้เป็นทางเดินและให้รถบรรทุกสิบล้อขนถ่านมาเก็บในโกดังผ่านเข้าออกทางสาธารณะมาสู่ที่ดินโจทก์ซึ่งอยู่ด้านในและไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทางอื่น เมื่อได้ชำระค่าที่ดินบางส่วนแล้ว โจทก์ทั้งห้า จำเลยและนางส้มได้ร่วมกันทำถนนกว้าง ๘.๕๐ เมตรผ่านกลางที่ดิน ถนนดังกล่าวอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้าง ๔.๒๐ เมตร ยาวตลอดเขตที่ดินของจำเลย หลังจากนั้นโจทก์ทั้งห้าได้สร้างโกดังถ่านและที่อยู่อาศัย ใช้ถนนดังกล่าวสำหรับรถบรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกสู่ที่ดินของโจทก์ โดยสงบเปิดเผยมาเป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยดังกล่าวจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้า ต่อมาวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๒๕ จำเลยทำรั้วบ้านล้ำเข้ามาในทางภาระจำยอม เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งห้าใช้รถบรรทุกสิบล้อบรรทุกถ่านเข้าออกจากโกดังของตนสู่ถนนสาธารณะไม่ได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินหมายสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นทางภาระจำยอม ให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยและไปจดทะเบียนที่ดินของจำเลยดังกล่าวเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยสัญญาว่าจะยกที่ดินของจำเลยในส่วนใดส่วนหนึ่งให้เป็นภาระจำยอมแก่โจทก์หรือผู้หนึ่งผู้ใดจำเลยทำรั้วภายในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยมิได้เป็นการละเมิดหรือรอนสิทธิ์แก่โจทก์ ถนนที่เข้าบ้านนางส้มและโจทก์ทั้งห้ายังใช้รถบรรทุกสิบล้อ หรือยานพาหนะอื่นเข้าบ้านได้สะดวก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินของจำเลยเฉพาะส่วนที่อยู่ในเขตหมายสีแดงตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องหมาย ๒ เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ ให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอมดังกล่าว โดยให้จำเลยรื้อรั้วบ้านของจำเลยที่ปิดกั้นทางภาระจำยอมทั้งหมดออกไปและให้จำเลยไปจดทะเบียนที่ดินของจำเลยเฉพาะส่วนที่อยู่ในเขตหมายสีแดงให้เป็นทางภาระจำยอมเพื่อที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ โจทก์ทั้งห้า จำเลย นางส้ม สัมพันธ์แพ และนางอบ แย้มดอนไพร ร่วมกันซื้อที่ดินจากนางถนอม ชาญวุฒิ ซึ่งเป็นที่ดินสองโฉนดติดต่อกันตั้งอยู่ในซอยอาภาเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและเก็บถ่านซึ่งผู้ซื้อทุกคนต่างมีอาชีพค้าถ่านและตกลงยอมให้ที่ดินตรงเขตติดต่อของที่ดินทั้งสองโฉนดด้านละ ๕ เมตร ทำถนนจากซอยชัยอาภาเข้าไปยังที่ดินที่โจทก์ทั้งห้าซื้อเพื่อให้ถนนกว้างพอที่จะใช้รถบรรทุกสิบล้อบรรทุกถ่านเข้าไปยังโกดังเก็บถ่านได้ด้วย เมื่อตกลงซื้อโดยชำระค่าที่ดินบางส่วนแล้ว เจ้าของที่ดินอนุญาตให้เข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ โจทก์ทั้งห้า จำเลยและผู้ที่ร่วมซื้อที่ดินนั้นก็ทำถนนจากซอยชัยอาภาเข้าไปในที่ดินดังกล่าวตามที่ตกลงกัน ถนนเสร็จเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เป็นถนนกว้าง ๘.๕๐ เมตร ซึ่งอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยกว้าง ๔.๒๐ เมตร ยาว ๑๔.๙๖ เมตร คือบริเวณสีแดงในแผนที่เอกสารหมาย จ.๒ แล้วโจทก์ทั้งห้าก็ได้ใช้ถนนดังกล่าวให้รถบรรทุกสิบล้อบรรทุกถ่านเข้าออกตลอดมา จึงเชื่อได้ว่าจำเลยยอมให้ที่พิพาททำถนนเข้าไปยังที่ดินของโจทก์ทั้งห้าตามแผนที่เอกสารหมาย จ.๒
ในปัญหาที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ทั้งห้าใช้ถนนซึ่งรวมทางพิพาทมายังไม่ถึง ๑๐ ปี เพราะเพิ่งซื้อที่ดินจากนางถนอม ชาญวุฒิ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๕ ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินหมาย ล.๔ ได้แบ่งแยกโฉนดและถมดินในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ และปลูกบ้านอยู่อาศัยในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงมีเหตุผลเชื่อได้ว่าโจทก์ทั้งห้ากับจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดและทำถนนตามที่ตกลงกันก่อนทำหนังสือสัญญาขายที่ดิน เอกสารหมาย ล.๔ โดยเจ้าของที่ดินอนุญาตและโจทก์ทั้งห้าได้ใช้ถนนที่พิพาทมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ตลอดมาจนถึงวันที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปี เมื่อทางพิพาทตามเอกสารหมาย จ.๒ ได้ใช้เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งห้าติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว โดยจำเลยมิได้ทักท้วงหรือห้ามปรามแต่อย่างใดทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมซึ่งโจทก์ทั้งห้าได้มาโดยอายุความ จำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้น
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าการตกลงให้ใช้ที่พิพาทเป็นทางภาระจำยอมเป็นการทำนิติกรรม มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่มีผลบังคับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความ มิใช่ได้มาทางนิติกรรมกรณีจึงหาจำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังข้อฎีกาของจำเลย
พิพากษายืน.

Share