คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เอามือขยำหน้าอกผู้เสียหายในระหว่างที่พวกของจำเลยที่ 2 คนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้ว มิใช่จำเลยที่ 2 ต้องลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยตนเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2540 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 5 คน ซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ตบตี บีบคอนางสาว… ผู้เสียหายอายุ 26 ปี และจับผู้เสียหายไว้จนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วกระทำอนาจารจับนมผู้เสียหายและบังคับให้ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศ และจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยทั้งสองกับพวกโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืนกระทำชำเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 276 วรรคสอง, 278 กับนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 98/2545 ของศาลจังหวัดสงขลา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 278 , 83 จำเลยที่ 2 อายุ 19 ปี รู้ผิดชอบดีแล้วจึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 20 ปี นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 98/2545 ของศาลจังหวัดสงขลา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี รู้ผิดชอบดีแล้ว จึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ และให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 15 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ร่วมกันกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามบทที่มีโทษหนักที่สุด ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำเลยที่ 1 ไม่ฎีกา คดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอันยุติ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าผู้เสียหายมิได้เบิกความระบุชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายเพียงแต่เบิกความว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 บังคับให้ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศนั้น จำเลยที่ 2 เอามือขยำบีบหน้าอกของผู้เสียหายเท่านั้น ทั้งตามบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.7 ก็ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ส่วนนางสาวรอซีด๊ะ ขุนพิบูลย์ และนายอรชุน คงสำเร็จ พยานโจทก์ก็เบิกความเพียงว่า จำเลยที่ 2 อยู่ในกลุ่มของคนร้ายที่เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเท่านั้น แต่ไม่เห็นเหตุการณ์ในขณะผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเรา หลังเกิดเหตุผู้เสียหายมิได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นางสาวรอซีด๊ะและนายอรชุนฟัง เพิ่งมาเล่าให้นางสาวรอซีด๊ะฟังหลังจากกลับถึงบ้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้ระบุถึงชื่อจำเลยที่ 2 ด้วย เห็นว่า แม้นางสาวรอซีด๊ะกับนายอรชุนจะไม่เห็นเหตุการณ์ในขณะผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเรา แต่ทั้งสองคนก็อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์และต่างก็เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เข้าร่วมอยู่ในกลุ่มคนร้ายด้วย จึงนับเป็นพยานแวดล้อมกรณีที่สำคัญมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ส่วนที่ผู้เสียหายไม่ได้เล่าเหตุการณ์ให้นางสาวรอซีด๊ะและนายอรชุนฟังทันทีก็เป็นไปได้ว่าผู้เสียหายเกิดความอับอายที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ประกอบกับมีผู้ชายคือนายอรชุนอยู่ด้วย หลังจากกลับถึงบ้านแล้วผู้เสียหายจึงเล่าวเรื่องดังกล่าวให้นางสาวรอซีด๊ะฟังจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด ส่วนที่ไม่ระบุชื่อจำเลยที่ 2 ด้วย อาจเป็นเพราะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังรวม ๆ ไป ยังมิได้ระบุถึงรายละเอียด เนื่องจากอาจจะตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนที่อ้างว่าผู้เสียหายมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย เพียงแต่เอามือขยำบีบหน้าอกผู้เสียหายในขณะที่จำเลยที่ 1 บังคับให้ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นกรณีข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง การที่จำเลยที่ 2 เอามือขยำหน้าอกผู้เสียหายในระหว่างที่พวกของจำเลยที่ 2 คนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และจำเลยที่ 1 บังคับให้ผู้เสียหายอมอวัยวะเพศนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงแล้ว หาใช่จำเลยที่ 2 ต้องลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยตนเองไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 มานั้น ชอบแล้ว”
พิพากษายืน.

Share