แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยประสงค์ในข้อที่ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์มีความผิด มิใช่ดังข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 54 ไม่รับอุทธรณ์
จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลย จำเลยมิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงใด ๆ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัย แต่จำเลยอุทธรณ์ว่าการวินิจฉัยคดีของศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยตามประเด็นและหน้าที่นำสืบที่ได้กำหนดไว้ อันเป็นผลให้คำพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณา
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ต่างได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 41,42)
คดีสองสำนวนนี้ จำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินให้แก่โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 2,270 บาท แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 7,800 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว(อันดับ 32)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 39)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามอุทธรณ์ข้อ 3 สาระสำคัญแห่งอุทธรณ์อยู่ที่ว่าศาลแรงงานกลางมิได้กำหนดหน้าที่นำสืบตามภาระการพิสูจน์ตามคำฟ้องและคำให้การที่ถูกต้อง แต่ความเช่นว่านั้น จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลแรงงานกลางไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ส่วนอุทธรณ์ข้อ 4 ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้ทุจริตต่อหน้าที่ด้วยการลักสีของจำเลย จำเลยอุทธรณ์เป็นทำนองว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่ ดังนี้ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง