คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกและยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้ผู้คัดค้านที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวอันเป็นการตัดสิทธิทายาทอื่นรวมทั้งผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายด้วยก็ตาม แต่ทรัพย์สินตามที่ระบุในพินัยกรรมดังกล่าวยังคงมีข้อโต้เถียงกันว่าได้รวมเอาทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสในส่วนของผู้ร้องด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 มีชื่อเป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมจึงมีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เช่นกันเมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ต่างมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 จึงสมควรตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเสนอ จิตรพันธ์ ผู้ตาย เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม2530 ผู้ตายได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ก่อนถึงแก่กรรมผู้ตายและผู้ร้องมีทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส แต่ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใด และมิได้ตั้งให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก จึงมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก ขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ตายได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้คัดค้านที่ 1 ตลอดมา และผู้ตายได้ทำพินัยกรรมไว้เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2529 ตั้งให้ผู้คัดค้านที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกและได้ยกทรัพย์สินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะทำพินัยกรรมหรือจะมีขึ้นในภายหน้าให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 แต่ผู้เดียวฉะนั้น ข้อกำหนดในพินัยกรรมดังกล่าวจึงมีผลตัดสิทธิของผู้ร้องแล้วตามกฎหมาย ขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 2เป็นภริยาคนหนึ่งของผู้ตาย โดยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยามาตั้งแต่ปี 2498 ผู้คัดค้านที่ 2 มีทรัพย์สินส่วนตัวมาก่อนอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้ตาย และผู้คัดค้านที่ 2 ได้นำทรัพย์สินส่วนตัวดังกล่าวมาร่วมลงทุนกับผู้ตายประกอบกิจการโรงเรียนหลายแห่งโดยผู้คัดค้านที่ 2 ได้ร่วมดำเนินกิจการโรงเรียนและดูแลทรัพย์สินอื่น ๆ ร่วมกันมาจนกระทั่งผู้ตายถึงแก่กรรม ที่ดินตามบัญชีท้ายคำร้องพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างผู้ตายได้นำทรัพย์สินส่วนตัวของผู้คัดค้านที่ 2 และของผู้ตายร่วมกันซื้อหามาหรือทำการไถ่ถอนจำนองมาทั้งสิ้น ส่วนเงินฝากในธนาคารตามบัญชีท้ายคำร้องก็เป็นเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินที่เป็นสินส่วนตัวของผู้คัดค้านที่ 2และของผู้ตายร่วมกัน เงินฝากในธนาคารจึงตกเป็นของผู้คัดค้านที่ 2กึ่งหนึ่ง นอกจากผู้ตายจะมีผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 เป็นภริยาแล้ว ผู้ตายยังมีหญิงอื่นเป็นภริยาอีกหลายคน ส่วนผู้คัดค้านที่ 1มิใช่ภริยาของผู้ตาย ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย ขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ให้ยกคำร้องของผู้ร้องและคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้อง ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกัน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้คัดค้านที่ 2 ถึงแก่กรรมศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะผู้คัดค้านที่ 2 ออกจากสารบบความของศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 สมควรจะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ ซึ่งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ต่างก็ฎีกาโต้แย้งซึ่งกันและกันว่า แต่ละฝ่ายต่างไม่มีสิทธิและไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ปัญหาที่ว่าผู้ร้องมีสิทธิและสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ นั้น ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ทรัพย์สินที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องกับผู้ตายร่วมกันทำมาหาได้ จึงไม่มีทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสในส่วนของผู้ร้องรวมอยู่ในพินัยกรรมดังกล่าวด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องยื่นคำร้องและนำสืบว่า ทรัพย์สินที่ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1นั้น เป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสของผู้ร้องกับผู้ตาย เมื่อผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย และทรัพย์สินต่าง ๆดังกล่าวยังมิได้มีการแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนและยังมีข้อโต้แย้งกันว่าทรัพย์ใดเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาต่อไปว่า ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมตั้งให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก และยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว เป็นการตัดสิทธิทายาทอื่นรวมทั้งผู้ร้องด้วย จึงไม่มีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกนั้น เห็นว่า แม้พินัยกรรมตามที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้างว่าผู้ตายได้ทำไว้นั้นจะมีการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญและผลการตรวจพิสูจน์จะปรากฎว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมน่าจะเป็นลายมือชื่อของผู้ตายก็ตามแต่ทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมดังกล่าวยังคงมีข้อโต้เถียงกันว่าได้รวมเอาทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรส ในส่วนของผู้ร้องไปทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ด้วย ซึ่งผู้ตายจะทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสในส่วนของผู้ร้องให้แก่ผู้ใดไม่ได้ดังนั้น ผู้ร้องจึงยังมีสิทธิในทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมดังกล่าวอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏเช่นนี้ ศาลย่อมใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงความเหมาะสมหรือพฤติการณ์เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามที่เห็นสมควรได้ สำหรับปัญหาที่ว่าผู้คัคค้านที่ 1 สมควรที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่นั้น ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ร่วมกับพวกทำพินัยกรรมปลอมขึ้น ถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควรจึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้น เห็นว่า แม้พินัยกรรมดังกล่าวผู้ร้องจะกล่าวอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอม แต่ผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญก็ปรากฏว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมน่าจะเป็นลายมือชื่อของผู้ตาย เมื่อฝ่ายผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นและตามพินัยกรรมดังกล่าวก็มีชื่อผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้รับทรัพย์มรดกของผู้ตาย จึงถือว่าผู้คัดค้านที่ 1 มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เช่นกันเมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ต่างก็มีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 จึงสมควรตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายร่วมกัน”
พิพากษายืน โดยให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายเสนอ จิตรพันธ์ ผู้ตายร่วมกัน

Share