คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสุดท้าย นั้นหมายถึงบุคคลอื่น มิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง ฉะนั้นการที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ และจำเลยได้ใช้ปืนยิงเจ้าทรัพย์บาดเจ็บและกระสุนพลาดไปถูกพวกคนร้ายด้วยกันตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นโดยใช้ปืนยิงและฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายสำลีและพวกอีกคนหนึ่งสมคบร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธ ปล้นทรัพย์นายวีระเชิด นางบุบผา วาชัยยง ไปรวมเป็นเงิน 1,340 บาท และจำเลยได้ใช้ปืนยิงนายวีระเชิดเพื่อปกปิดหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา แต่นายวีระเชิดหลบหลีกกระสุนปืนจึงพลาดไปถูกใต้ตาและหัวคิ้วขวาของนายวีระเชิดได้รับอันตรายแก่กาย และกระสุนพลาดไปถูกเอานายสำลีพวกของจำเลยตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 339, 340, 289, 83, 60 ให้ริบปืนและกระสุนของกลางให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ เป็นเหตุให้นายสำลีถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340วรรคสุดท้าย และมีความผิดฐานฆ่านายสำลีให้ถึงแก่ความตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 340 วรรคสุดม้าย ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต อาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางให้ริบ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,340 บาท แก่เจ้าทรัพย์ด้วย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในคืนโจทก์หามีคนร้าย 3 คนเข้าปล้นนายวีระเชิดกับภริยาจริง คนร้ายได้ทรัพย์แล้วยิงนายวีระเชิด แต่กระสุนพลาดไปถูกนายสำลีพวกคนร้ายด้วยกันตาย แล้วคนร้ายอีก 2 คนหลบหนีไป ในที่เกิดเหตุมีตะเกียงกระป๋องใส้โตเท่าหลอดกาแฟจุดอยู่ คนร้าย 3 คนเข้ามาใช้ปืนจี้ในระยะห่าง 1-3 ฟุต โดยไม่ได้สวมหมวกโพกหัว คนร้ายทำการอยู่นาน 4-5 นาทีดังนี้ นายวีระเชิดนางบุบผาจึงมีโอกาสที่จะเห็นและจำคนร้ายได้ทั้งเจ้าทรัพย์ก็ไม่รู้จักจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงว่าจะแกล้งปรักปรำชี้จำเลย ทำให้เชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริง หลักฐานพยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้

คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340วรรคสุดท้าย ฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาเห็นว่าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้นหมายถึงบุคคลอื่นมิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตามมาตรา 340 วรรค 4 และฐานฆ่านายสำลีตายโดยเจตนา ตามมาตรา 288, 60

จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 และมาตรา 288 ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนักส่วนกำหนดโทษและนอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share