คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1914/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งจำเลยได้รับอนุญาตจากทางการให้อยู่อาศัย หากินเพราะจำเลยเคยทำกิจมาก่อน ต่อมาทางการได้ปลูกต้นไม้ ในที่ดินดังกล่าว จำเลยได้เข้าไปไถในที่เกิดเหตุเป็นเนื้อที่ 12 ไร่ ทำให้ต้นไม้ที่ทางการปลูกไว้เสียหาย ดังนี้จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ พระราชบัญญัติป่าไม้สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 โดยถือว่า การกระทำของจำเลยเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ตามความหมายแห่งมาตรา 14 ดังกล่าว (กรรมเดียวหลายบท)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจเข้าไปก่อสร้างครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ หนองเม็กลุมพุก และได้ไถปลูกปอและยึดถือครอบครองเป็นเนื้อที่ ๑๒ ไร่ ทำให้ต้นประดู่และต้นนนทรี ซึ่งปลูกใหม่เสียหาย ๑,๒๐๐ ต้น ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ และ พระราชบัญญัติป่าไม้สงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘ และ พระราชบัญญัติป่าไม้สงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ ให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติป่าไม้สงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๒ ปี ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงจำคุก ๑ ปี ๔ เดือน ให้จำเลยและบริวารออกจากป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้สงวนแห่งชาติ ผิดเฉพาะทำให้เสียทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ แต่เนื่องจากจำเลยทำกินในที่พิพาทมาก่อน จึงได้รับผ่อนผันจากทางราชการให้อยู่อาศัยทำกินต่อไป ต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๑ ทางราชการได้ปลูกต้นประดู่และต้นนนทรีลงในที่เกิดเหตุ ในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๒ จำเลยได้เข้าไปไถในที่เกิดเหตุเป็นเนื้อที่ ๑๒ ไร่ ทำให้ต้นไม้ที่ทางราชการปลูกไว้ดังกล่าวเสียหาย การกระทำของจำเลยถือได้ว่า เป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ มาตรา ๑๔ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share