คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าสัญญากู้ซึ่งมีดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมเป็นเงินต้นด้วยเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงยกขึ้นมาในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง การที่โจทก์นำดอกเบี้ยล่วงหน้าที่คิดจากจำเลยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 ไปรวมเป็นต้นเงินที่กู้ยืมตามสัญญากู้เฉพาะดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นและข้อตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ยังคงสมบูรณ์ สัญญากู้ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ และในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องบังคับคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2534 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 50,000 บาท ยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน กำหนดชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 1 มกราคม 2535 หลังจากที่ได้รับเงินไปแล้ว จำเลยไม่เคยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์โจทก์ทวงถามแต่จำเลยขอผัดผ่อน ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 58,750 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ1.25 บาท ต่อเดือน ในต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน นับแต่วันที่ 1 มกราคม2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา โดยมีผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นโมฆะหรือไม่ ซึ่งจำเลยฎีกาว่า สัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 ได้นำดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมเป็นเงินต้นด้วยจึงเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า ปัญหาที่ว่าสัญญากู้ซึ่งมีดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมเป็นเงินต้นด้วยเป็นโมฆะหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยจึงยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2534 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 50,000บาท ยอมให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 1 มกราคม 2535 แต่โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า จำนวนเงินในสัญญากู้ได้รวมดอกเบี้ยจำนวน 8,000 บาทเศษไว้ด้วยจึงฟังได้ว่าต้นเงินที่กู้ยืมเป็นจำนวนเพียง 42,000 บาท ส่วนอีก8,000 บาทเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยล่วงหน้าและนำไปรวมเป็นต้นเงินที่กู้ยืม ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จำเลยต้องใช้เงินคืนภายใน 1 ปี ถ้าหากคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่โจทก์มีสิทธิจะเรียกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ในต้นเงิน 42,000 บาท จะเป็นดอกเบี้ยเพียง 6,300 บาท ฉะนั้น ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยล่วงหน้าจำนวน 8,000 บาท จึงเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราพุทธศักราช 2475 มาตรา 3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 เฉพาะดอกเบี้ยที่เกินอัตราจำนวน 8,000 บาท จึงเป็นโมฆะ แต่หนี้เงินต้นจำนวน 42,000 บาท และข้อตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ยังคงสมบูรณ์ สัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ และในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมนำมาใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องบังคับคดีได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 42,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือนนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2534จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share