แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนรถยนต์และเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ หากศาลไม่ให้ทุเลาการบังคับก็ขอให้กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่ให้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนได้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนไปแล้ว ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่ได้รับรถคืนไปเท่านั้น จะอ้างว่านำรถยนต์ไปเก็บรักษาตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติมิได้รับรถยนต์ตามคำพิพากษาและขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในเวลาต่อมานั้นไม่ได้ การที่จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ไปเก็บรักษาเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ และชดใช้ค่าขาดประโยชน์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสอง แต่ยกคำขออื่นของโจทก์ โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ได้ขอทุเลาการบังคับ แต่ถ้าศาลเห็นสมควรให้โจทก์รับรถยนต์ดังกล่าวคืนก็ขอให้โจทก์นำหลักทรัพย์มาวางประกัน ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่กำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์โดยให้โจทก์หาหลักประกันมาวางแล้วให้คืนรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์ได้นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์ดังกล่าวคืนไป ต่อมา ศาลฎีกาได้พิพากษาเฉพาะค่าขาดประโยชน์ยืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าขาดประโยชน์ จำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระ โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 ยังชำระหนี้ไม่ครบตามคำพิพากษาโดยไม่นำเงินค่าขาดประโยชน์หลังจากวันที่ 6 พฤศจิกายน 2524 มาวางศาลจำเลยที่ 1 แถลงว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ได้คืนรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสองแล้วถือว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว โจทก์ไม่อาจเรียกค่าขาดประโยชน์ได้อีก ให้ยกคำร้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ทั้งสองฎีกาสรุปใจความได้ว่าการที่โจทก์รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันไปจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่6 พฤศจิกายน 2524 นั้น เป็นการรับไปเก็บรักษาตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่กำหนดวิธีการให้โจทก์ปฏิบัติ ไม่ใช่ได้รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันคืนตามคำพิพากษา แม้จะได้รับรถยนต์ดังกล่าวคืนมา โจทก์ก็ยังต้องปฏิบัติตามวิธีการคุ้มครองประโยชน์ตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ. 21253 หรือ 11-2915 ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2522 จนถึงวันที่โจทก์ทำสัญญารถร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด ในวันที่ 24 มกราคม 2529 และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ฐ. 13604 หรือ 11-3013 ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2522 จนถึงวันที่โจทก์ทำสัญญาร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด ในวันที่ 3 เมษายน 2529 พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับในคำฟ้องข้อ 6 ว่า การที่จำเลยทั้งสองไม่คืนรถยนต์ตามฟ้องข้อ 2ให้โจทก์ ทำให้โจทก์ขาดรายได้เป็นเงินสุทธิวันละไม่น้อยกว่า 5,000บาทต่อ 1 คัน โจทก์ขอคิดนับแต่วันที่ 14 กันยายน 2522 ที่จำเลยทั้งสองมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองคืนรถยนต์ทั้งสองคันให้โจทก์ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาเกี่ยวกับคำขอบังคับดังกล่าวว่าให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียนน.ฐ. 13604 และ น.ฐ. 21253 คันละ 20,000 บาท ต่อเดือนให้แก่โจทก์ทั้งสอง โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2522 เป็นต้นไปจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้มอบรถยนต์ทั้งสองคันคืนให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งคำพิพากษาในส่วนนี้ของศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน จึงถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถยนต์เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2522 เป็นต้นไปจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้มอบรถยนต์ทั้งสองคันคืนให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งตรงตามคำขอบังคับในคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองแล้ว เมื่อโจทก์ยอมรับมาในฎีกาของโจทก์เองว่าได้ไปรับรถยนต์พิพาททั้งสองคันคืนจากจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2524 และได้ความว่าได้รับคืนไปในสภาพที่ใช้การได้ ผลจึงเท่ากับว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบรถยนต์ทั้งสองคันคืนให้แก่โจทก์ทั้งสองตรงตามวัตถุประสงค์แห่งคำขอบังคับในคำฟ้องแล้วตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2524เป็นต้นไป หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ย่อมไม่ต้องรับผิดชำระค่าขาดประโยชน์ตามฟ้องให้โจทก์ทั้งสองอีก ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าโจทก์รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันจากจำเลยที่ 1 ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่กำหนดวิธีการให้โจทก์ปฏิบัติ มิได้รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันตามคำพิพากษานั้น เห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์พิพาททั้งสองคันให้แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษาโดยได้กล่าวในคำร้องว่า ถ้าหากศาลเห็นควรให้โจทก์รับรถยนต์ทั้งสองคันคืนไปก็ขอได้สั่งให้โจทก์นำหลักทรัพย์เท่าที่ศาลเห็นสมควรมาวางประกันไว้ต่อศาลแล้ว จึงรับรถยนต์ดังกล่าวไปได้คำร้องดังกล่าวของจำเลยที่ 1 มีความหมายอยู่ในตัวว่าถ้าโจทก์นำหลักทรัพย์ตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดมาวางก็ให้โจทก์รับรถยนต์ไปได้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ก็สั่งเพียงว่า “ฯ ให้โจทก์ฯหาหลักประกันมาวางตามกำหนดเวลาจนเป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นก็ให้คืนรถทัวร์ทั้งสองคันให้โจทก์ทั้งสองไป” เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นคำร้องของจำเลยที่ 1 หรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ล้วนแต่มิได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่าเมื่อโจทก์รับรถยนต์ไปแล้วจะนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ถ้าการมอบรถยนต์พิพาททั้งสองคันให้โจทก์ไปมีความหมายเพียงว่าให้โจทก์รับรถยนต์ไปเก็บรักษาแต่อย่างเดียวดังโจทก์อ้างแล้ว กรณีก็เท่ากับโจทก์เป็นผู้รักษาทรัพย์รายนี้ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ศาลจะต้องเรียกหลักประกันจากโจทก์ผู้รักษาทรัพย์ไว้ ที่โจทก์อ้างว่าเมื่อโจทก์รับรถยนต์พิพาททั้งสองคันไปจากจำเลยที่ 1 แล้ว ได้นำไปเก็บรักษาไว้เพียงอย่างเดียวไม่ได้นำออกใช้ประโยชน์นั้น หากเป็นจริงก็เป็นความเข้าใจผิดและเป็นความสมัครใจที่จะปฏิบัติเช่นนั้นของโจทก์เอง จะนำมาปรับเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 เพื่อเรียกค่าเสียหายเอาจากจำเลยที่ 1 อีกหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาครบถ้วนแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน