คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเดิมเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง ต่อมาจำเลยกับผู้ร้องตกลงหย่าขาดจากกันและทำบันทึกยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้องแต่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นของผู้ร้อง เช่นนี้ หากฟังได้ดังที่ผู้ร้องอ้าง กรณีก็มิใช่เป็นการยกให้โดยเสน่หา แต่เป็นการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1532 แม้ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาก็ต้องฟังพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความ การที่ศาลงดสืบพยานผู้ร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์โดยผ่อนชำระ จำเลยผิดนัดโจทก์ขอให้บังคับคดีและนำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 64413 พร้อมบ้านที่ปลูกบนที่ดิน ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นของผู้ร้องโดยผู้ร้องกับจำเลยได้มาระหว่างสมรส เมื่อตกลงหย่ากันได้มีการทำบันทึกยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้อง แต่ยังไม่ได้โอนชื่อเป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โจทก์ให้การว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องได้ 1 ปากแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดการสืบพยานผู้ร้องและพยานโจทก์อีกต่อไป ปรากฏว่าพยานผู้ร้องคือตัวผู้ร้องเองเบิกความว่าเดิมจำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างสมรสได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 64413 ที่พิพาทพร้อมบ้าน 1 หลังบนที่ดินนี้มาจากบริษัทกรุงเทพเคหะพัฒนา จำกัด แต่ใส่ชื่อจำเลยไว้เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้จึงเป็นสินสมรส ต่อมาวันที่ 23 เมษายน 2524 ผู้ร้องกับจำเลยตกลงหย่าขาดจากกันตามเอกสารหมาย ร.1 ในการจดทะเบียนหย่าผู้ร้องกับจำเลยตกลงแบ่งสินสมรสกันโดยจำเลยยอมยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ส่วนจำเลยได้เงินสดและเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับสัญญาการกู้เงินไป แต่ไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดได้เพราะได้นำโฉนดไปจำนองไว้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ดินและบ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดมาไว้ในคดีนี้เป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย
พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องฎีกาว่า การที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะถือได้หรือไม่ว่าที่ดินยังเป็นของจำเลยอยู่ เพราะข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดที่ดินถือว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานไม่เด็ดขาด อาจนำสืบหักล้างได้ จึงควรให้ผู้ร้องนำสืบว่ามีการจดทะเบียนหย่ากันจริงและแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวกันจริงโดยสุจริตการที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งงดสืบพยานของทั้งสองฝ่ายย่อมเป็นการไม่ชอบ จึงขอฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เห็นพ้องกับคำสั่งศาลชั้นต้น นั้น เห็นว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับผู้ร้องหย่ากันและแบ่งทรัพย์สินกันจริงโดยสุจริตดังผู้ร้องอ้าง กรณีก็มิใช่เป็นการยกให้โดยเสน่หา แต่เป็นการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1532 และแม้จะยังมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินแปลงนี้ก็ตาม ก็สมควรฟังพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความเสียก่อนที่ศาลล่างทั้งสองงดสืบพยานและพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share