คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ตบตีบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเมื่อผู้เยาว์ดมทินเนอร์แล้วจะเกิดผลอะไรที่เป็นเหตุไม่ให้ผู้เยาว์หลบหนีไปตามเจตนาของจำเลย และกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลรู้เอง จึงลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 กับพวก ร่วมกันทำร้ายผู้เยาว์โดยเตะและตบศีรษะ บังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ การกระทำตามคำฟ้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ต้องจำยอมตามนั้นคำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกแม้โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 310 ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก อันเป็นบทมาตราที่ถูกต้องได้ และการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 391.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันพรากเด็กชายศักดิ์ชัยผู้เยาว์อายุ 14 ปี ไปจากมารดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ทั้งนี้เพื่อหากำไรด้วยการบังคับให้ผู้เยาว์ไปเต้นสิงโตเรี่ยไรเงินจากผู้อื่น จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เยาว์โดยเตะและตบศีรษะบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ และจำเลยได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เยาว์ เป็นเหตุให้ผู้เยาว์ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 318, 319, 391,83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318 วรรคแรก, 310 วรรคแรก จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก, 391 เป็นความผิดต่างกรรมกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามมาตรา 310 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 3 บังคับให้เด็กชายศักดิ์ชัย ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ หากขัดขืนก็จะเตะทำร้ายผู้เยาว์ เพื่อไม่ให้ผู้เยาว์หนีไปจากจำเลยที่ 3 กับพวกนั้นเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก หรือไม่ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ตบตีบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์แต่เกี่ยวกับการบังคับให้ดมทินเนอร์โจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงเลยว่า เมื่อผู้เยาว์ดมทินเนอร์ตามที่จำเลยที่ 3 บังคับแล้วจะเกิดผลอะไรที่จะเป็นเหตุไม่ให้ผู้เยาว์หนีไปตามเจตนาของจำเลยที่ 3 กับพวก และกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลรู้ได้เองเมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ไม่ได้ แต่ในเรื่องนี้โจทก์บรรยายฟ้องมาแจ้งชัดว่า จำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เยาว์ โดยเตะและตบศีรษะบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ ซึ่งตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ต้องจำยอมตามนั้นครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก และข้อเท็จจริงก็ฟังได้ตามนั้น โดยที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 310 บัญญัติเป็นความผิดในลักษณะและหมวดเดียวกัน เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ความผิดตามมาตรา 309 มาแล้ว แม้ไม่ได้อ้างบทลงโทษตามมาตรา 309 มา ศาลก็ลงโทษตามบทมาตราที่ถูกต้องได้ ซึ่งมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ และได้ความจากคำเบิกความของเด็กชายศักดิ์ชัย สุขสอาด ว่า ถูกจำเลยที่ 3 บังคับให้ดมทินเนอร์เมื่อไม่ดมก็ถูกจำเลยที่ 3 เตะ การกระทำของจำเลยที่3 ดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก อีกบทหนึ่ง ให้ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share