คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3926/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ โดยให้โจทก์ไถ่ถอนการขายฝากจาก ส. เป็นการชำระเงินค่าที่พิพาทส่วนหนึ่ง โจทก์นำที่พิพาทไปจำนองกับธนาคารเพื่อประกันหนี้เงินที่โจทก์กู้มาไถ่ถอนการขายฝาก ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์และศาลฎีกาพิพากษาว่า สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนาลวง ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 ปรากฏว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารไปตามสัญญาจำนองก่อนแล้วจำนวน 106,373.20 บาท จำเลยคงชำระเงินส่วนที่เหลือแก่ธนาคารเป็นการไถ่ถอนการจำนองอีกเพียง 26,601.44 บาท จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาในสภาพที่ปลอดจำนองด้วยเงินที่โจทก์ชำระไปส่วนหนึ่ง ซึ่งจำเลยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทั้งโจทก์มิได้ชำระหนี้ไปตามอำเภอใจ จำเลยจึงต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 โจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งถือว่าเป็นวันที่รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืน อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว มิใช่นับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย เมื่อฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปีนับแต่เวลาที่ทราบคำพิพากษาศาลฎีกา จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๗ จำเลยได้ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๗๕ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับนายสมศักดิ์ หัทยานนท์ เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๓ ปี ก่อนครบกำหนดจำเลยไม่มีเงินไถ่ จึงขายให้แก่โจทก์ในราคา ๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าไถ่ถอนแก่นายสมศักดิ์ หัทยานนท์ เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท เงินที่เหลือให้โจทก์ชำระเป็นเงินสด และหักกลบลบหนี้กัน จำเลยจึงทำนิติกรรมโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ และวันเดียวกัน โจทก์ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางลำพู ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๒๕ ว่านิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวเป็นโมฆะ ก่อนจะทำนิติกรรมโอนขายจากจำเลยเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ชำระค่าไถ่ถอนขายฝากแทนจำเลยไปด้วยเช็คจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และเงินสด ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยจึงต้องคืนจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์กู้ยืมจากธนาคาร พร้อมดอกเบี้ยในการจำนองดังกล่าว ขอให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๑๗๙,๓๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของเงินต้น ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้นำเงินส่วนตัวของโจทก์ไปชำระค่าไถ่ถอนการขายฝาก เพราะจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๔๘๗๕ ได้โอนที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ แต่มิได้มีเจตนาผูกพันตามสัญญาซื้อขาย เพียงให้ปรากฏชื่อโจทก์ เพื่อให้โจทก์นำที่ดินของจำเลยไปจำนองเป็นประกันเงินกู้กับธนาคารที่โจทก์เป็นลูกค้าในจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำเงินมาไถ่ถอนการขายฝากเท่านั้นและเพื่อเปลี่ยนแปลงนิติกรรมจากการขายฝากมาเป็นจำนองด้วยการเปลี่ยนตัวผู้เป็นเจ้าหนี้จากนายสมศักดิ์ หัทยานานนท์ มาเป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางลำพู จำเลยจึงมิได้ลาภงอกเงยจากการกระทำของโจทก์ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคงติดจำนองกับธนาคารอยู่ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินให้โจทก์ จากคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว เมื่อจำเลยประสงค์จะให้ปลอดจำนองจำเลยได้ชำระค่าไถ่ถอนจำนองแก่ธนาคารเป็นเงิน ๒๖,๖๐๑.๔๔ บาทแล้ว ที่โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและเป็นผู้จำนองที่ดินต่อธนาคารจึงเป็นเพียงผู้กระทำทำแทนจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ และทราบผลคำพิพากษาแล้ว แต่โจทก์ยังชำระหนี้แก่ธนาคารอีก จึงเป็นการกระทำตามอำเภอใจของโจทก์เอง ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืน และฟ้องเกิน ๑ ปี จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๐๖,๓๗๓.๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีในต้นเงิน ๑๐๖,๓๗๓.๒๐ บาท นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๖ จนกว่าจำเลยจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๗๕ ตำบลบางขุนศรี อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร แต่เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ครั้นเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๘ จำเลยนำที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายสมศักดิ์ หัทยานานนท์ กำหนดไถ่ถอนคืนใน ๓ ปี ก่อนครบกำหนด จำเลยได้ทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ในราคา ๔๐๐,๐๐๐ บาท และให้โจทก์ไถ่ถอนการขายฝากจากนายสมศักดิ์ หัทยานานนท์ แล้วโจทก์นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนจำนองกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางลำพู เพื่อเป็นประกันหนี้ที่โจทก์กู้เงินมา จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นเงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการไถ่ถอนการขายฝากดังกล่าว หลังจากนั้นจำเลยจึงฟ้องโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๔๔๕๙/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้นให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์ จำเลย ศาลฎีกาพิพากษาว่า โจทก์จำเลยมิได้ตกลงซื้อขายกันจริงจัง สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนาลวงระหว่างคู่กรณีจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ ซึ่งก่อนนั้นโจทก์ได้ผ่อนชำระต้นเงินจำนวน ๘๐,๗๙๙.๐๑ บาท และดอกเบี้ยจำนวน ๖๕,๕๗๔.๑๙ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐๖,๓๗๓.๒๐ บาท แก่ธนาคารตามสัญญาจำนองนั้นไปแล้ว เห็นว่า เมื่อคดีหมายเลขแดงที่ ๑๔๔๕๙/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำการผ่อนชำระเงินให้แก่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางลำพู ไปแล้วจำนวน ๑๐๖,๓๗๓.๒๐ บาท จำเลยคงชำระเงินส่วนที่เหลือแก่ธนาคารเป็นการไถ่ถอนจำนองอีกเพียง ๒๖,๖๐๑.๔๔ บาท ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปโดยปลอดจำนอง โดยเป็นผลมาจากการที่โจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้จำนองจำนวนดังกล่าวแล้วด้วย จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาในสภาพที่ปลอดจำนองด้วยเงินที่โจทก์ชำระไปส่วนหนึ่ง ซึ่งจำเลยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และทำให้โจทก์เสียเปรียบ ทั้งโจทก์ก็มิได้ชำระไปตามอำเภอใจ จำเลยจึงต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๖ สำหรับประเด็นเรื่องอายุความนั้น ปรากฏว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๒๕ ซึ่งถือว่าเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืน อายุความจึงเริ่มนับแต่เวลาดังกล่าว มิใช่นับแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามที่จำเลยฎีกา โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคา ๒๕๒๖ ยังไม่พ้นกำหนด ๑ ปี นังแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืน จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share