แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเบิกความเท็จ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าคดีที่จำเลยเบิกความมีข้อหาและข้อความที่เบิกความเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยเบิกความมาในฟ้องต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างคำเบิกความของจำเลยกับสำนวนคดีนั้นเป็นพยานหลักฐาน และศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีนั้นทั้งสำนวนมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ไว้แล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นก็หาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นมิได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ให้จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้เบิกความเท็จต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 331/2525 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก โจทก์ นายประเทือง อินทุยศ กับพวก จำเลย เป็นใจความว่า จำเลย (หมายถึงนายปรุง อินทุภูติ) มีบ่อล่อปลา 2 บ่อ โดยจ้างนายดุสิตขุด บ่อปลานี้อยู่ในที่ดินของนางละเอียด ซึ่งทางราชการนิคมสร้างตนเองทุ่งสานอนุญาตให้นางละเอียดทำกิน ได้รับ น.ค.1 เป็นการได้สิทธิครอบครองแล้วและจำเลยเบิกความอีกว่า ในปี พ.ศ. 2521โจทก์จะแจ้งความกล่าวหาว่านางละเอียด บุกรุกขุดบ่อในที่ดินของโจทก์หรือไม่ ไม่ทราบ นางละเอียดไม่ได้เล่าให้ฟังว่าตกลงกันอย่างไรซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทราบว่าโจทก์ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพรหมพิราม กล่าวหาว่า นางละเอียดบุกรุกขุดบ่อในที่ดินที่โจทก์ได้รับอนุญาตจากทางราชการนิคมสร้างตนเองทุ่งสานให้ครอบครอง และจำเลยทราบว่านางละเอียดยินยอมมอบสิทธิครอบครองบ่อปลา 2 บ่อ ให้โจทก์ภายหลังจากนางละเอียดมีสิทธิใช้บ่อปลามีกำหนดเวลา 2 ปีแล้ว ซึ่งข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 331/2525 ของศาลจังหวัดพิษณุโลกดังนี้โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าคดีที่จำเลยเบิกความมีข้อหาและข้อความที่เบิกความเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร เมื่ออ่านฟ้องโดยตลอดแล้วก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจได้อยู่ในตัวว่าความเท็จตามที่จำเลยเบิกความมีความสำคัญต่อคดีนั้นอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยเบิกความมาในฟ้อง ต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างคำเบิกความของจำเลยกับสำนวนคดีนั้นเป็นพยานหลักฐาน และศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีนั้นทั้งสำนวนมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ไว้แล้วก็ตามแต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นก็หาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นมิได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน