คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า บัดนี้ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการฟ้องร้องโจทก์ในข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราทำหลักฐานเท็จและหลีกเลี่ยงภาษีอากรแล้ว ขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้ รอฟังผลคดีอาญาดังนี้ ข้ออ้างของจำเลยไม่เข้ากรณีที่จะร้องขอให้งดการบังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ทั้งไม่มีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดี

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมชำระหนี้รวม 61,390 บาท ให้แก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระ โจทก์ขอบังคับคดีและกองบังคับคดีแพ่งได้อายัดเงินค่าจ้างบางส่วนของจำเลยจากการรถไฟแห่งประเทศไทย คดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2517 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อประธานคณะกรรมการ ก.ส.ส.ส่วนกลาง สำนักนายกรัฐมนตรีขอให้ผ่อนผันการบังคับคดี และประธานคณะกรรมการ ก.ส.ส. ได้มีหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง ขอให้รอการบังคับคดีลูกหนี้ของโจทก์ไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลคดีอาญา ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งได้สั่งว่า เมื่อผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีร้องขอ ก็จะใช้ดุลพินิจสั่งตามสมควรแก่รูปคดี บัดนี้พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการฟ้องร้องโจทก์ในข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ทำหลักฐานเท็จและหลีกเลี่ยงภาษีอากรแล้ว จึงขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้รอฟังผลคดีอาญา

ศาลชั้นต้นสั่งงดการบังคับคดีไว้ตามคำร้องขอของจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุตามข้ออ้างของจำเลยไม่เข้ากรณีที่จะร้องขอให้งดการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 กรณีเป็นคนละเรื่องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ ทั้งไม่มีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดี

พิพากษายืน

Share