คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนศาลชั้นต้นตัดสินให้โจทก์ (คือจำเลยในคดีก่อน) ชำระเงิน 3 ล้านบาทเศษแก่จำเลย (คือโจทก์ในคดีก่อน) คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหนังสือกันนอกศาลว่า จำเลยยอมรับเงินจากโจทก์เพียง 7 แสนบาทแทนการเรียกให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา และได้รับเงิน 7 แสนบาทไปแล้ว ต่อมาคดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพาษายืน ไม่มีฝ่ายใดฎีกา จำเลย (ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน) จะขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นหาได้ไม่
ในกรณีข้างต้น เมื่อโจทก์ในคดีก่อนขอให้ศาลออกคำบังคับคดีตามคำพิพากษาและจำเลยในคดีก่อนอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นออกคำบังคับโดยไม่ยอมรับฟังสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันนอกศาลนั้น แล้วจำเลยในคดีก่อนมายื่นฟ้องโจทก์ในคดีก่อนขอให้บังคับโจทก์ในดคีก่อนปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนั้นได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

เดิมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ จำเลยได้ฟ้องโจทก์กับกรมการจังหวัดกาญจนบุรี เรียกทรัพย์สินในไร่ฝ้ายคืน ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้เงิน ๓,๔๕๓,๔๖๒ บาท ศาลจังหวัดกาญจนบุรีพิพากษาให้จำเลยชนะคดีและโจทก์อุทธรณ์ วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๙๖ นายสุรพงษ์ผู้แทนจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหนังสือกับผู้แทนกรมตำรวจซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำการแทนโจทก์ สัญญามีสาระสำคัญว่าจำเลยยอมรับเงินจากโจทก์ ๗๗๐,๐๐๐ บาทแทนการเรียกให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์สินใดๆ จากโจทก์อีกโดยเด็ดขาด และได้รับเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว ต่อมาวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๔๙๖ จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์อีกฉบับหนึ่งเท้าความถึงสัญญาฉบับแรกโดยว่าได้รับเงินไปตามสัญญาฉบับแรกแล้ว จะไม่ขอเรียกร้องอีกต่อไป ไม่ว่าผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะเป็นประการใด เป็นการให้สัตยาบันแก่สัญญาฉบับแรก ในที่สุดคดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลจังหวัดกาญจนบุรี โจทก์ไม่ฎีกา ต่อมาวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๕๙ จำเลยขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระเงินตามคำพิพากษานั้น โจทก์แถลงคัดค้าน โจทก์กล่าวในฟ้องคดีหลังนี้ว่า ศาลไม่รับรู้ในการที่โจทก์แถลงคัดค้านนั้น
โจทก์จึงฟ้องคดีหลังนี้อ้างว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์เป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ต่อกัน ทำให้สิทธิเรียกร้องสิ้นไป การที่จำเลยกลับบังคับให้โจทก์ใช้เงิน ได้ชื่อว่าหลอกลวงโจทก์ให้เสียหาย ต้องจ่ายเงิน ๓,๓๗๗,๖๘๓ บาท ๑๗ สตางค์ จึงขอศาลบังคับจำเลยใช้เงิน ๓,๓๗๗,๖๘๓ บาท ๑๗ สตางค์ แก่โจทก์ หรือให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ทำไว้ ให้จำเลยงดใช้สิทธิเรียกร้องจากโจทก์ เว้นแต่เงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท ที่รับไปแล้ว ขอให้สั่งศาลจังหวัดกาญจนบุรี คืนเงิน ๓,๓๗๗,๖๘๓ บาท ๑๗ สตางค์ แก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้อง และต่อสู้หลายประการ
คู่ความแถลงรับกันบางประการ ศาลแพ่งสืบพยาน
คู่ความแถลงรับกันบางประการ ศาลแพ่งสืบพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ไม่ขาดอายุความฟ้องร้อง สัญญาประนีประนอมยอมความสมบูรณ์ผูกพันฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้ ข้อตกลงประนีประนอมหาได้เจตนาจะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลไม่ ส่วนเรื่องที่ต่อสู้ว่าถูกข่มขู่ให้รับเงินเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลแพ่งจึงพิพากษาให้จำเลยงดการใช้สิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์ใดๆ จากโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว คือ ให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ด้วยงดการเรียกร้องเอาทรัพย์ใดๆ ในคดีก่อนของศาลจังหวัดกาญจนบุรีจากโจทก์ และให้จำเลยร้องต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีให้งดการบังคับคดี (สละสิทธิในการบังคับคดี) กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๓,๓๗๗,๖๘๓ บาท ๑๗ สตางค์ แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ส่วนข้อข่มขู่ ศาลอุทธรณืฟังว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมโดยสมัครใจ ไม่มีการข่มขู่ จำเลยยินดีรับเงินไปหลายปีแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความ ๒ ฉบับ มีวัตถุประสงค์เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาล ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาของศาลมีอยู่อย่างไร ก็คงเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดจนได้ออกคำบังคับไปตามที่จำเลย (คือโจทก์ในคดีก่อน) ร้องขอ ส่วนสัญญาประนีประนอมยอมความ ๒ ฉบับนั้นเป็นอีกกรณีหนึ่งซึ่งคู่ความต่างฝ่ายต่างผ่อนปรนแก่กัน ฝ่ายจำเลยยอมลดหย่อนจำนวนเงินลงโดยฝ่ายโจทก์ (คือ จำเลยในคดีเดิม) สละสิทธิไม่ฎีกาต่อไป ซึ่งถ้าฎีกาต่อไปแล้วอาจชนะคดีโดยจำเลยจะไม่ได้อะไรเลยก็อาจเป็นได้ ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ สัญญา ๒ ฉบับนั้นมีความหมายว่า หากจำเลยชนะคดี จำเลยก็จะไม่บังคับตามคำพิพากษา หากแต่จะขอรับเงินเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท เป็นที่พอใจ คำพิพากษาเป็นแต่ชี้สิทธิและความรับผิดระหว่างจำเลยและโจทก์ ส่วนการจะดำเนินการบังคับคดีเอาเงินจากโจทก์ตามคำพิพากษาหรือไม่เพียงใดเป็นสิทธิของจำเลยผู้ชนะคดี จำเลยและโจทก์จะทำความตกลงผ่อนปรนกันอย่างไรจึงเป็นเรื่องของจำเลยและโจทก์เอง หาเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาลแต่ประการใดไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องซ้ำเพราะโจทก์เคยอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นออกคำบังคับโดยไม่ยอมรับฟังสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันนอกศาล ข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ครั้งก่อนเป็นการโต้เถียงกันในชั้นบังคับคดี หาใช่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องร้องจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ จึงไม่ใช่เป็นการฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share